เมื่อเรามองไปข้างหน้า คิดถึงชีวิตในอีกสักห้าปีต่อไป
ฉันเป็นแฟนคลับวารสารรายสามเดือนของแบรนด์ยูนิโคล่ ที่จริงไม่ได้สนใจเรื่องของเสื้อผ้าที่อยู่ในเล่มเท่าไหร่ ปรกติจะซื้อ ก็พวกแอสเซสเซอร์รี่ ชุดนอน กางเกงใส่อยู่บ้าน และชั้นในจากแบรนด์นี้บ้าง แต่ของเหล่านั้นก็เป็นสไตล์ที่รู้อยู่แล้ว ไปถึงร้านหยิบชิ้นไหนก็ได้ ถ้าเป็นประเภทเสื้อ กางเกง มักจะเลือกไอเท็มสูท เบลเซอร์ หรือชิ้นของผู้ชายที่สำหรับเราแล้วสวมใส่ง่ายกว่า
มาพูดถึงวารสารของยูนิโคล่ ที่เรียกได้ว่าเห็นแล้วต้องรี่เข้าไปหยิบ ( ฟรี ) มาจากร้าน และยังอ่านซ้ำหลายครั้งจนคิดว่า คณะจัดทำต้องภูมิใจ ที่อ่านซ้ำก็เพราะเราเองก็เป็นคนเขียนบล็อกได้มาอ่านคอลัมน์ในเล่ม รู้สึกว่าสำนวนการเขียนดีทีเดียว กระชับ ภาษาดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป และเขียนได้ไหลลื่น น่าอ่าน
หนึ่งเรื่องในวารสารที่น่าสนใจมาก และหลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่า ยูนิโคล่ทำโครงการนำเสื้อผ้าเก่ากลับมาขายใหม่ แต่ไม่ใช่การนำเสื้อมือสองมาแขวนขายเฉยๆ หรอก แต่จะนำไปผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Garment Dyeing ซึ่ง Dyeing หมายถึงการย้อม ยูนิโคล่จะนำเสื้อผ้าซักทำความสะอาดและย้อมพวกมันใหม่ด้วยสีโทนธรรมชาติ ได้แก่ แดง เขียว น้ำเงินและเทา และด้วยสีเดิมของเสื้อผ้าที่แตกต่างกันทำให้สีที่ได้หลังจากการย้อมใหม่ แตกต่างกันไป ส่วนเส้นด้ายที่ใช้เย็บตะเข็บเป็นชนิดกันสีซึม จึงให้รายละเอียดที่โดดเด่น นอกจากนั้นในกระบวนการซักทำความสะอาด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และย้อมสี ยูนิโคล่ยังเลือกใช้วิธีที่ประหยัดน้ำด้วย
หลังจากผ่านการซักและการย้อมสี เสื้อผ้าเหล่านั้นยังคง “เนื้อผ้านุ่ม ผิวสัมผัสปราณีต” รายได้ส่วนหนึ่งของการขายเสื้อผ้ารีไซเคิลนี้ ยูนิโคล่นำไปบริจาคให้องค์กรส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนในชิบูย่า
อนาคต : ชีวิตในห้าปีข้างหน้า
ในโลกของแฟชั่นที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยการผลิตจำนวนมาก แนวคิดเรื่อง “ความใหม่” เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก มันเป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากใส่คอลเลกชันล่าสุดจากรันเวย์ หรือสวมชุดใหม่ต้อนรับฤดูกาลใหม่แทนของเก่า แต่ขณะเดียวกัน อีกกระแสหนึ่งก็น่าสนใจ—กระแสของ “การออกแบบของใหม่จากของเก่า ”
เมื่อเสื้อผ้า ไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม
ความงามของเสื้อยูนิโคล่ที่ผ่านการรีไซเคิล ไม่ได้อยู่ที่ลวดลายหวือหวา แต่มาจากแนวคิด คัตติ้งแบบไม่มีส่วนเกิน ผิวสัมผัสที่แสดงถึงธรรมชาติของเนื้อผ้า และเฉดสีที่ไม่ได้พยายามจะโดดเด่น นี่คือแฟชั่นที่ไม่ต้องการเป็นจุดศูนย์กลางของสายตา แต่มอบพื้นที่ให้ “ผู้สวมใส่” ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่
RE.UNIQLO คือจุดเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การย้อนกลับ
คำว่า “RE.” ที่ขึ้นต้นโครงการนี้ ไม่ได้แปลว่าการย้อนอดีต แต่คือการ “เริ่มต้นใหม่” ของการผลิตเสื้อผ้าที่เราออกแบบอนาคตด้วยสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ไม่ใช่เพียงยูนิโคล่ที่มีความคิดแบบนี้ หลายแบรนด์ก็เริ่มนำแนวคิดเดียวกันมาใช้ ทั้งการนำเสื้อเก่ามาย้อมใหม่ การใช้เศษผ้ามาเย็บเป็นลายพิเศษ หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการออกแบบเสื้อผ้าจากของเหลือในอุตสาหกรรม คำถามง่ายๆ ที่เราถามตัวเองได้ว่า เราต้องซื้อ “ของใหม่” ทุกครั้งหรือไม่? เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันนี้ ยังมีโอกาสให้ออกแบบใหม่ได้ไหม? และเราควรจะมองเสื้อผ้าเก่าในตู้ โดยให้ความหมายมันแค่เป็นของที่เก่าแล้วแค่นั้นหรือ?
ซึ่งในโลกแฟชั่นยุคนี้ ความ “ใหม่” มักหมายถึง “ยังไงก็ขายให้เร็วที่สุด” และนั่นคือที่มาของ ปัญหาการผลิตล้นโลก
● ทุกปีมีเสื้อผ้าใหม่ 80–100 พันล้านชิ้น ถูกผลิตทั่วโลก● แต่เกือบ 40% ของเสื้อผ้าเหล่านั้นคือจำนวนที่เหลือค้างขายไม่หมด จึงกลายเป็นสินค้าที่ถูกเผา ถูกฝัง หรืออัปไซเคิลโดยฉับพลัน
รวมแล้วในแต่ละปี เสื้อผ้ากว่า 92 ล้านตัน ตกอยู่ในหลุมฝังกลบ และน้อยกว่า 1% เท่านั้นที่ถูกรีไซเคิลกลับมาเป็นเสื้อผ้าใหม่
การรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า หรือเสื้อที่ถูกทิ้งจาก Fast Fashion จึงเป็นแนวทางของแฟชั่นในอนาคตเพื่อลดขยะบนโลกนี้ และดูเข้ากันได้ดีกับกลิ่นไอแฟชั่นในแนวดิสโทเปียด้วย หลายแบรนด์ดังจับแนวคิดนี้มาสร้างสรรค์แฟชั่นสุดล้ำ เช่น
1. Simon Cracker
แบรนด์อิตาลีที่ได้แสดงคอลเลกชั่นบนรันเวย์ ใน Milan Fashion Week โดยใช้เสื้อผ้าเก่า เต็มไปด้วย zipper ใหญ่ ปุ่ม ขนาดที่ oversize และทรงของเสื้อผ้าออกแบบในสไตล์ dystopian ที่สกายชอบคือเสื้อยืดที่มีป้ายติดบนอกเสื้อ
2. Duran Lantinkดีไซเนอร์ชาวดัตช์ อัพไซเคิลเสื้อผ้าวินเทจให้เป็นลุคใหม่ที่มีเรื่องเล่า เช่น jackets กลายเป็น bodysuit งานออกแบบของแบรนด์นี้ ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของความทรงจำบนเสื้อผ้า
3. Marine Serre
ใช้ deadstock ผ้าเก่า เช่น ผ้าลูกไม้ ผ้าปูโต๊ะ หรือผ้าเช็ดตัว นำมาเย็บรวมในแนวออกแบบที่สะท้อนแนวคิดเรื่องแฟชั่นในอนาคต Eco- Futurist เสื้อผ้าของแบรนด์นี้สวยงามด้วยสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวที่เป็นสัญลักษณ์มาตั้งแต่เริ่มเดบิวต์
คำว่า “RE.” ที่ขึ้นต้นโครงการนี้ ไม่ได้แปลว่าการย้อนอดีต แต่คือการ “เริ่มต้นใหม่” ของการผลิตเสื้อผ้าที่เราออกแบบอนาคตด้วยสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ไม่ใช่เพียงยูนิโคล่ที่มีความคิดแบบนี้ หลายแบรนด์ก็เริ่มนำแนวคิดเดียวกันมาใช้ ทั้งการนำเสื้อเก่ามาย้อมใหม่ การใช้เศษผ้ามาเย็บเป็นลายพิเศษ หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการออกแบบเสื้อผ้าจากของเหลือในอุตสาหกรรม คำถามง่ายๆ ที่เราถามตัวเองได้ว่า เราต้องซื้อ “ของใหม่” ทุกครั้งหรือไม่? เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันนี้ ยังมีโอกาสให้ออกแบบใหม่ได้ไหม? และเราควรจะมองเสื้อผ้าเก่าในตู้ โดยให้ความหมายมันแค่เป็นของที่เก่าแล้วแค่นั้นหรือ?
4. Christopher Raeburn (RÆBURN)
ใช้วัตถุดิบที่เหลือจากในอุตสาหกรรมแฟชั่นในการสร้างสรรค์ คอลเลกชั่นของ RÆBURN ที่โดดเด่นได้แก่ เสื้อกั๊ก แจ็กเก็ต ไอเทมเอ้าท์ดอร์ แบรนด์นี้เปลี่ยนลุกแบบทหารให้ออกมาเป็นแฟชั่น high-end
แนวคิดด้านแฟชั่นในอนาคต ในแบบแฟชั่นเพื่อความยั่งยืนยังมีแนวคิดอื่นๆ เช่น แบรนด์
Patagonia Worn Wear ให้ลูกค้าสามารถนำเสื้อของแบรนด์ที่ซื้อไปแล้วมาแลกได้ แบรนด์ E.L.V. Denim นั้นตัดเย็บกางเกงยีนส์จากยีนส์เก่า กลายเป็นกางเกงรุ่นใหม่ แบรนด์ Suay Sew Shop นั้นมาจากธุรกิจหลักเป็นโรงงาน upcycle ใน LA รับผลิตสินค้าและหน้ากากจากผ้ารีไซเคิล



