Sunday, July 20, 2025

เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง ตอนที่ 2  ( ความลับของร้านค้าที่ไม่ใช่แค่ขายสินค้า )


จากตอนที่แล้วเราได้พูดถึงร้านค้าที่ใช้  “แสง”  เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการขายสินค้า เพราะเกิด

การใช้แสงเป็นเครื่องมือสร้าง 3 สิ่ง ต่อไปนี้ได้ 


  

• แสงสร้างคอนทราสต์ให้เกิดมิติได้  

การมีเงาและไฮไลต์ช่วยเน้นรูปร่างพื้นผิว ทำให้สิ่งของดูมีมิติ ไม่แบนราบแบบแสงทั่วไปในบ้าน


• แสงสร้างเส้นทางนำายตาที่ไปยังที่แบรนด์ต้องการให้มองได้ 

การใช้ spotlight ส่องเฉพาะสินค้าชิ้นสำคัญ ทำให้มัน “เด่น” ขึ้นมาในความรู้สึกของคนดู


• แสงกำหนดอารมณ์ที่แบรนด์ต้องการได้ 

เช่น ร้านเครื่องสำอางบางร้านใช้แสงที่นุ่มเหมือนแสงเทียน ให้รู้สึกถึงความหรูหรา นุ่มละมุน

และเป็นกันเอง


แสงที่ "ขาย" มากกว่าสินค้า

จากตอนที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างร้านที่ให้แสงต่างสีกัน  เพื่อบ่งบอกอารมณ์ของแบรนด์ อย่าง Muji    Aesop และ Gentle Monster 

สำหรับ Muji แล้ว เราไม่ได้มองแบรนด์นี้แค่เพียงขายเสื้อผ้าแฟชั่น แต่ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียน เครื่องครัว และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ตั้งอยู่บน Concept ของความเรียบง่าย   การใช้แสงสว่างในร้าน  จึงต้องการให้ลูกค้าผู้เข้ามารู้สึกอบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน และใช้เวลาเดินเลือกซื้อในร้านนานๆ 

    สีของแสงในร้าน และหลอดไฟ 

  • Muji  เลือกใช้แสงสีอบอุ่นในช่วง 2700 K (Soft Warm White) เพื่อสร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง   ผ่อนคลาย และไม่เป็นทางการ   สอดคล้องกับแนวทางของแบรนด์ที่เน้นความ “จริงใจ” และเรียบง่าย
  • ลักษณะแสงนี้ช่วยให้สินค้าในร้านดูอ่อนนุ่ม ไม่แห้งกระด้าง  และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจขณะเดินเลือกซื้อ

Sources :  lightavenuesg.com+4articture.com+4lux-lumens.sg+4

  • และในห้องลองเสื้อของMuji  บางสาขา  ลูกค้าสามารถปรับอุณหภูมิสีได้ระหว่าง แสงอุ่น–สว่าง เพื่อให้มองเห็นเสื้อผ้าในหลายโหมดของแสงจริงที่อาจเจอในชีวิตประจำวัน

    

สำหรับร้าน Aesop นั้นเป็นการเพิ่มดีกรีความมีศิลปะเข้าไปในบรรยากาศ  เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าทึ่งในเรื่องของ “แสง” ที่มีผลต่อความรู้สึกในสถานที่ 




     Aesop มักใช้แสงสลัว มีเงา เพื่อสร้างมิติ  โดยเลือกใช้แสง warm white  โทนสีเหลืองอ่อน 
    เพื่อให้ภายในร้านสว่างแบบ “พอดี” ไม่ใช้  flood light และ ไม่ใช้  spotlight เน้นสินค้าด้วยซ้ำ  
    แสงภายในร้าน Aesop ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในวิหาร ห้องสมุด ห้องชงชา ซึ่งมี พิธีกรรม
    บางอย่าง มากกว่าร้านค้า

    Aesop ใช้แสงเพื่อ ดึงคุณเข้าไปข้างใน ไม่ใช่แค่ภายในร้าน แต่ยังเป็นการเข้าใจถึงภายในจิตใจคุณเองด้วย เป็นแสงที่ไม่เร่ง  ไม่รุก  ไม่กระตุ้นการซื้อแบบตรงๆ

บรรยากาศแบบเซน ผสานศิลปะ

Aesop ให้แสงที่ค่อยๆ สว่างตามพื้นที่ วางเฉพาะตรงจุดที่จำเป็น   ไม่ว่าจะเป็นที่ผนัง  ชั้นวางสินค้าและของตกแต่งทั้งหมดดูเหมือนจะพูดภาษาเดียวกับแสง   ภาษาที่เงียบ เรียบ นุ่มนวล แบรนด์นี้ไม่ได้ขาย “โปรดักต์”  แค่ขวดสวย   แต่ขาย ประสบการณ์ของความสงบ  การใส่ใจตัวเอง  Aesop สร้างร้านราวอาศรม และแสดงออกว่า การปรนนิบัติตนเองคือพิธีกรรม


สำหรับร้าน Gentle Monster   แล้ว  เป็นศิลปะในการใช้แสงอีกแนวทางหนึ่งซึ่งฉีกไปจาก Aesop 
คุณอาจจะเคยฟังประวัติที่มาของร้านแว่นตาสุดล้ำ สัญชาติเกาหลี ที่มีแนวคิดต้องการทำแว่นตา
ให้เหมาะกับใบหน้าชาวเอเชียจากแหล่งอื่นๆ ในโซเชียลมาแล้ว   เราจะข้ามเรื่องนั้นไป  มาสู่ความน่าสนใจในเรื่องของ  "แสง"   ภายในร้านกัน 

เพราะพวกเขาใช้แสงเป็นองค์ประกอบสำคัญ  เพื่อให้  “การเล่าเรื่อง” ของแบรนด์นี้ได้อารมณ์  ไม่ใช่แค่เพื่อให้เห็นสินค้าเท่านั้น  สิ่งที่คนทั่วไปมองเห็น  ต้องให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโลกอีกใบ โลกแห่งจินตนาการที่คุมโทนเป๊ะ  




💡 ลักษณะของแสงในร้าน Gentle Monster  (โดยเฉพาะบางสาขาอย่างเซี่ยงไฮ้ โซล โตเกียว):

  • Uniformity : แสงในบางโซนของร้าน Gentle Monster ถูกออกแบบให้สว่าง "ทั่วถึง" อย่างเท่า ๆ กัน (uniform lighting)  ทั้งที่เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่ความสว่างเท่ากันทั้งพื้นที่  ทำให้คนรู้สึกปลอดภัย  ถึงจะเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ๆ  ก็ไม่น่ากลัว  แสงสว่างนี้ยังทำให้บรรยากาศในร้านดู "ไม่จริง"  เหมือนฉากในนิยายวิทยาศาสตร์หรือในนิทรรศการ

  • แสงที่ไม่มีเงา: การส่องแสงจากหลายทิศทางพร้อมกันทำให้วัตถุในร้านไม่มีเงาเด่นชัด  สร้างความรู้สึกทั้งแบน  บางสิ่งก็ลอย  และดูเหนือจริง

  • ใช้แสงที่อุณหภูมิสีค่อนข้างเย็น 3500-4500 K หรือ cool white :  ไม่อบอุ่นนักแต่ก็ไม่สว่างจ้าแบบ Daylight   เพื่อให้ดูสะอาด  ล้ำยุค  ไม่เน้นความนุ่มนวล   แสงสร้างภาพที่จงใจจะให้คุณ “ รู้สึกประหลาดใจ  หรือไม่สบายใจเล็กน้อย ” เพื่อทำให้จดจำ

    ความรู้สึกที่แสงนี้สร้างขึ้น:

  • เหงาแต่ดึงดูด: ขอบอกตามตรงเลย  ว่า  พวกเขาสร้างความสว่างแบบไม่มีจุดอบอุ่น  ไม่ให้ความรู้สึกสบายเสมือนอยู่บ้านหรอกนะ   แต่ก็นั่นแหละ  มันกลับดึงดูดให้เดินต่อ  ดูต่อ

  • เหมือนเป็น museum มากกว่าร้านค้า: แสงสร้างระยะห่างทางอารมณ์  ระหว่างภายในร้านกับเราผู้เข้าไปเยี่ยมชม  คล้ายกับการไปพิพิธภัณฑ์ ที่บอกว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง

  • เหมาะกับแบรนด์ที่เน้นความ experimental: เพราะ Gentle Monster ไม่ได้ขายแว่นตาเพียงอย่างเดียว   พวกเขาขายมุมมอง โลกที่แตกต่าง และความเป็นศิลปะที่สวมใส่ได้

     ถ้าจะเทียบกับร้านทั่วไป:

ร้านทั่วไปใช้แสงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าดูแพง แต่ก็ดูจริงและจับต้องได้  แต่ Gentle Monster ใช้แสงเพื่อลบความรู้สึก "ปกติ" ออก  ให้คนรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกแฟนตาซี  หากคุณเป็นนักดู
ซีรีส์แนวไซไฟแล้ว  ในบางสาขาของ Gentle Monster  คุณคงนึกถึงลักษณะของโลกดิสโทเปีย 

    ถ้าเปรียบเทียบกับ Gentle Monster กับ Aesop : 

    Aspect

Gentle Monster

Aesop

    แสง

Uniform, สว่างจ้า, ไร้เงา

Warm, Low Light, มีเงา

    อารมณ์

Sci-Fi, แฟนตาซี, ระยะห่าง

Zen, Soft, ใกล้ชิด

 บทบาทของแสง

ทำให้รู้สึกแปลกใหม่เหมือนในนิทรรศการ

ทำให้รู้สึกสงบและมีสมาธิ

   เป้าหมาย

กระตุกความรู้สึก จดจำไม่ลืม

ดึงให้คุณกลับมาใช้เวลากับตัวเอง


    จากตัวอย่างสองแบรนด์นี้   เราจะเห็นได้ว่า  การออกแบบ   ’แสง’   ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคเท่านั้น  
    แต่เป็นการใช้   “ภาษาที่ไร้คำพูด” ของแบรนด์ได้เลย  ตามหลักการของการออกแบบแสงที่ว่า
    แสงนั้นคือ  Silent Language  หรือภาษาเงียบ  — การที่ Aesop ใช้แสงแบบวิหารที่มีพิธีกรรม 
    และ Gentle Monster ใช้แสงเหมือนพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะจากโลกอนาคต  มันสะท้อนตัวตน
    และวิธีสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจน.


    หากคุณมีร้านค้าแบรนด์อื่นที่น่าสนใจ  ส่งข้อความมาแลกเปลี่ยนกันได้นะ


7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

        7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว     บทสัมภาษณ์ David Autor ในรายการทางพอสแคสต์ Possible  ของ Reid Hof...