Tuesday, August 12, 2025

7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

 

     




7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

 

 

บทสัมภาษณ์ David Autor ในรายการทางพอสแคสต์ Possible  ของ Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง  Linkedin

เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2025  Autor ตอบคำถาม เกี่ยวกับโลกอนาคตที่ใช้ AI เมื่อถูกถามว่า โลกอนาคตจะ

เหมือน wall-e หรือ Mad Max มากกว่า

 

Autor  ตอบด้วยคำเตือนว่า

ผมเห็นภาพ MAD MAX ชัดเจนกว่า โลกอนาคตอาจเต็มไปด้วยการแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือน้อย ซึ่งถูกผูกขาด

โดยคนมีอำนาจ

 

 

ใครที่ดูภาพยนตร์สองเรื่องนี้ จะพบว่ามันมีความแตกต่างในประเภทหนังไม่น้อย ในขณะที่ Mad Max

หนังคนจริง เน้นการต่อสู้ระห่ำ ส่วน Wall-E เป็นอนิเมชั่นสำหรับเด็กที่พูดเรื่องดิสโทเปียในบรรยากาศเห็น

ความเหงาและความหวัง

 

แต่ทั้งสองเรื่องต่างเป็นภาพยนตร์ที่จินตนาการถึงโลกอนาคตข้างหน้าในวันที่ล่มสลาย

 

หนังแนว ดิสโทเปีย (Dystopian)  คือ หนังที่นำเสนอภาพของโลกหรือสังคมที่เลวร้ายและเสื่อมโทรม ซึ่งมักจะ

ถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ หรือเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรง โดยในโลกดิสโทเปีย แสดงถึง

ความไม่เป็นธรรม การกดขี่ข่มเหง และการสูญเสียความเป็นมนุษย์ 


ลักษณะสำคัญของหนังแนวดิสโทเปีย เป็นอย่างไร ?

 

สังคมที่เสื่อมโทรม:

โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความอดอยาก การทำลายล้าง และความเสื่อมถอยในทุกด้าน 


การปกครองแบบเผด็จการ:

การควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลหรือกลุ่มอำนาจ ที่จำกัดเสรีภาพและสิทธิของประชาชน 


การสูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคล:

ประชาชนถูกลดทอนความเป็นปัจเจก กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ไร้ความหมาย 


ความขัดแย้งทางชนชั้น:

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง 


การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด:

เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมและทำลาย มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ 

 

 

ตัวอย่างภาพยนตร์แนวดิสโทเปีย:

 

The Hunger Games:

โลกหลังสงครามที่แบ่งเป็นเขตต่างๆ และมีการแข่งขันที่โหดร้ายเพื่อความบันเทิงของชนชั้นปกครอง 

Divergent:

โลกที่แบ่งผู้คนออกเป็นกลุ่มตามบุคลิกภาพ และมีการต่อต้านระบบที่กดขี่ 

Mad Max:

โลกหลังหายนะที่ผู้คนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในทะเลทรายที่โหดร้าย 

Snowpiercer:

โลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่บนรถไฟที่แบ่งชนชั้น 

Blade Runner:

โลกอนาคตที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์และมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง 

V for Vendetta:

ก็เป็นหนังดิสโทเปียแบบหนึ่ง  โลกที่ถูกปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการ และมีผู้ก่อการร้ายที่ใช้สัญลักษณ์หน้ากาก

เพื่อต่อต้าน 

WALL-E:   โลกอนาคตที่มนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยขยะ    มนุษย์ต้องไปอาศัยในยานที่โคจรอยู่รอบ

โลกแทน มีเพียงหุ่นยนต์ที่ยังเหลืออยู่บนโลก



โลกดิสโทเปียในจิตนาการ ก็มีลักษณะของเมืองแตกต่างกันไปด้วยเรียกว่าเป็น Punk  ( อย่างที่เราจะเห็นว่า

Mad Max เป็นแนว Dieselpunk ; Blade Runner เป็นสไตล์ Cyberpunk ) ที่เราน่าจะคุยเรื่องของ punk ใน

โพสต์อื่นๆ ถัดไป



 

ก่อนที่อนาคตเช่นนั้นจะมาถึง อาจจะเพียงไม่กี่ปีหลังจากนี้ หรือในบางความเชื่อก็กล่าวว่า เมื่อคิดให้ดีๆ 

ไม่ใช่ว่าเรากำลังอยู่ในโลกดิสโทเปียแล้วหรือ?  สกายเลยลองหาเช็กลิสต์มาให้อ่านกันดู   จาก 7 ข้อนี้

คุณอาจใช้ชีวิตแบบ Dystopian Protagonist  อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว


( หรือคุณอาจเป็นคนที่ลืมเช็คข่าวดีๆ มานานแล้วก็ได้นะ )


ข้อที่ 1. คุณตั้งคำถาม กับสิ่งที่ “ทุกคนทำตามกันมา” เช่น

“ทุกคนต้องมีรถขับไหม?”  คุณอยากถามว่า มีรถเพื่ออะไร ?

ในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ “ทุกคนต้องรีบด้วยหรือ?” เพราะคุณคิดว่า รีบไปไหนกัน

แม้คุณไม่ใช่คนต่อต้านสังคม  แต่คุณไม่อยากเป็นน็อตตัวหนึ่งในเครื่องจักรที่กำลังทำงานโดย

ที่คุณไม่รู้ว่าจะไปทิศทางใด


ข้อที่ 2. คุณไม่ตามแฟชั่น คุณใช้เสื้อผ้าสื่อความเป็นตัวเอง...แม้มันจะดู ‘ไม่เข้าพวก’ ชุดของคุณอาจไม่ต้อง

ตามเทรนด์  แต่ต้อง ตรงใจตนเอง คุณอาจจะเลือกใส่เชิ้ตซีดๆ กับกางเกงยูทีลิตี้เพราะมันพูดแทนได้ว่า

“ นี่คือฉัน  คนที่พร้อมจะวิ่ง หรือหายไปจากระบบได้ทุกเมื่อ”


ข้อที่ 3. คุณไม่ใช่ทุนนิยม ไม่สนใจว่าจะต้อง ‘ดูดี’ ในสายตาสังคม แต่สนใจว่าตัวเองยังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม

ไม่โพสต์รูปเที่ยวหรู แต่แชร์ความคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่บางคนส่องรีวิวร้านคาเฟ่
คุณส่องข้อมูลว่าโลกนี้มีเด็กที่ไม่มีไฟฟ้าใช้กี่คน



ข้อที่ 4. คุณลงมือทำให้โลกนี้ให้ดีขึ้น คุณมองเห็นรอยรั่วของสังคม  แล้วไม่ได้แค่เศร้า...แต่ ‘คิดว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง’คุณรู้ว่า  เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ภายในวันเดียว แต่คุณยังพยายาม  ผ่านหลายๆ แนวทางที่ทำได้ เช่น ผ่านศิลปะ  การออกแบบ ผ่านเสื้อผ้า ผ่านบทความ คุณคิดเปลี่ยนทีละมุมเล็กๆ  แม้จะรู้ว่าโลกนี้ใหญ่มาก


ข้อที่ 5. คุณต้องการความสงบเพื่อสร้างสรรค์ เพราะคุณพบว่า ‘ความโดดเดี่ยว’ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์   ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ เวลาคนอื่นกลัวความเงียบ

คุณกลับพบแรงบันดาลใจในเสียงการอยู่ลำพัง ( เพราะคุณมีงานต้องทำ )
ในวันที่ทั้งโลกเสียงดัง  คุณตั้งใจฟังเสียงในใจ


ข้อที่ 6. คุณเชื่อว่า “อาวุธล่องหน”  ของคุณคือ ความเข้าใจตนเอง


คนอื่นอาจมีไลฟ์โค้ช มีสูตรสำเร็จ  แต่คุณมีแนวคิดที่มาจากการที่อยู่กับตัวเองอย่างซื่อสัตย์
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง


และข้อที่ 7 สุดท้ายนี้  คุณไม่อยากเป็นผู้ชนะ  แต่คุณอยาก ‘เข้าใจเกม’


ในขณะที่โลกเร่งสปีด  คุณคือคนที่ ค่อยๆ ถอยออกมามองภาพรวม  แล้วถามว่า “เกมนี้...มันแฟร์กับใครบ้าง?”

และแม้จะไม่มีคำตอบ  คุณก็ยังเลือกเดินแบบ “รู้ตัว” ไม่ใช่ “ตามใคร”

 

ถ้าคุณมี 3 ข้อขึ้นไปจากนี้ในชีวิต... ยินดีด้วย คุณอาจไม่ใช่ แค่ชาว Dystopian ธรรมดา แต่คุณอาจเป็นตัวเอก

ใน Universe นี้เลยทีเดียว.








Sunday, July 20, 2025

เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง ตอนที่ 2  ( ความลับของร้านค้าที่ไม่ใช่แค่ขายสินค้า )


จากตอนที่แล้วเราได้พูดถึงร้านค้าที่ใช้  “แสง”  เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการขายสินค้า เพราะเกิด

การใช้แสงเป็นเครื่องมือสร้าง 3 สิ่ง ต่อไปนี้ได้ 


  

• แสงสร้างคอนทราสต์ให้เกิดมิติได้  

การมีเงาและไฮไลต์ช่วยเน้นรูปร่างพื้นผิว ทำให้สิ่งของดูมีมิติ ไม่แบนราบแบบแสงทั่วไปในบ้าน


• แสงสร้างเส้นทางนำายตาที่ไปยังที่แบรนด์ต้องการให้มองได้ 

การใช้ spotlight ส่องเฉพาะสินค้าชิ้นสำคัญ ทำให้มัน “เด่น” ขึ้นมาในความรู้สึกของคนดู


• แสงกำหนดอารมณ์ที่แบรนด์ต้องการได้ 

เช่น ร้านเครื่องสำอางบางร้านใช้แสงที่นุ่มเหมือนแสงเทียน ให้รู้สึกถึงความหรูหรา นุ่มละมุน

และเป็นกันเอง


แสงที่ "ขาย" มากกว่าสินค้า

จากตอนที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างร้านที่ให้แสงต่างสีกัน  เพื่อบ่งบอกอารมณ์ของแบรนด์ อย่าง Muji    Aesop และ Gentle Monster 

สำหรับ Muji แล้ว เราไม่ได้มองแบรนด์นี้แค่เพียงขายเสื้อผ้าแฟชั่น แต่ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียน เครื่องครัว และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ตั้งอยู่บน Concept ของความเรียบง่าย   การใช้แสงสว่างในร้าน  จึงต้องการให้ลูกค้าผู้เข้ามารู้สึกอบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน และใช้เวลาเดินเลือกซื้อในร้านนานๆ 

    สีของแสงในร้าน และหลอดไฟ 

  • Muji  เลือกใช้แสงสีอบอุ่นในช่วง 2700 K (Soft Warm White) เพื่อสร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง   ผ่อนคลาย และไม่เป็นทางการ   สอดคล้องกับแนวทางของแบรนด์ที่เน้นความ “จริงใจ” และเรียบง่าย
  • ลักษณะแสงนี้ช่วยให้สินค้าในร้านดูอ่อนนุ่ม ไม่แห้งกระด้าง  และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจขณะเดินเลือกซื้อ

Sources :  lightavenuesg.com+4articture.com+4lux-lumens.sg+4

  • และในห้องลองเสื้อของMuji  บางสาขา  ลูกค้าสามารถปรับอุณหภูมิสีได้ระหว่าง แสงอุ่น–สว่าง เพื่อให้มองเห็นเสื้อผ้าในหลายโหมดของแสงจริงที่อาจเจอในชีวิตประจำวัน

    

สำหรับร้าน Aesop นั้นเป็นการเพิ่มดีกรีความมีศิลปะเข้าไปในบรรยากาศ  เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าทึ่งในเรื่องของ “แสง” ที่มีผลต่อความรู้สึกในสถานที่ 




     Aesop มักใช้แสงสลัว มีเงา เพื่อสร้างมิติ  โดยเลือกใช้แสง warm white  โทนสีเหลืองอ่อน 
    เพื่อให้ภายในร้านสว่างแบบ “พอดี” ไม่ใช้  flood light และ ไม่ใช้  spotlight เน้นสินค้าด้วยซ้ำ  
    แสงภายในร้าน Aesop ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในวิหาร ห้องสมุด ห้องชงชา ซึ่งมี พิธีกรรม
    บางอย่าง มากกว่าร้านค้า

    Aesop ใช้แสงเพื่อ ดึงคุณเข้าไปข้างใน ไม่ใช่แค่ภายในร้าน แต่ยังเป็นการเข้าใจถึงภายในจิตใจคุณเองด้วย เป็นแสงที่ไม่เร่ง  ไม่รุก  ไม่กระตุ้นการซื้อแบบตรงๆ

บรรยากาศแบบเซน ผสานศิลปะ

Aesop ให้แสงที่ค่อยๆ สว่างตามพื้นที่ วางเฉพาะตรงจุดที่จำเป็น   ไม่ว่าจะเป็นที่ผนัง  ชั้นวางสินค้าและของตกแต่งทั้งหมดดูเหมือนจะพูดภาษาเดียวกับแสง   ภาษาที่เงียบ เรียบ นุ่มนวล แบรนด์นี้ไม่ได้ขาย “โปรดักต์”  แค่ขวดสวย   แต่ขาย ประสบการณ์ของความสงบ  การใส่ใจตัวเอง  Aesop สร้างร้านราวอาศรม และแสดงออกว่า การปรนนิบัติตนเองคือพิธีกรรม


สำหรับร้าน Gentle Monster   แล้ว  เป็นศิลปะในการใช้แสงอีกแนวทางหนึ่งซึ่งฉีกไปจาก Aesop 
คุณอาจจะเคยฟังประวัติที่มาของร้านแว่นตาสุดล้ำ สัญชาติเกาหลี ที่มีแนวคิดต้องการทำแว่นตา
ให้เหมาะกับใบหน้าชาวเอเชียจากแหล่งอื่นๆ ในโซเชียลมาแล้ว   เราจะข้ามเรื่องนั้นไป  มาสู่ความน่าสนใจในเรื่องของ  "แสง"   ภายในร้านกัน 

เพราะพวกเขาใช้แสงเป็นองค์ประกอบสำคัญ  เพื่อให้  “การเล่าเรื่อง” ของแบรนด์นี้ได้อารมณ์  ไม่ใช่แค่เพื่อให้เห็นสินค้าเท่านั้น  สิ่งที่คนทั่วไปมองเห็น  ต้องให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโลกอีกใบ โลกแห่งจินตนาการที่คุมโทนเป๊ะ  




💡 ลักษณะของแสงในร้าน Gentle Monster  (โดยเฉพาะบางสาขาอย่างเซี่ยงไฮ้ โซล โตเกียว):

  • Uniformity : แสงในบางโซนของร้าน Gentle Monster ถูกออกแบบให้สว่าง "ทั่วถึง" อย่างเท่า ๆ กัน (uniform lighting)  ทั้งที่เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่ความสว่างเท่ากันทั้งพื้นที่  ทำให้คนรู้สึกปลอดภัย  ถึงจะเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ๆ  ก็ไม่น่ากลัว  แสงสว่างนี้ยังทำให้บรรยากาศในร้านดู "ไม่จริง"  เหมือนฉากในนิยายวิทยาศาสตร์หรือในนิทรรศการ

  • แสงที่ไม่มีเงา: การส่องแสงจากหลายทิศทางพร้อมกันทำให้วัตถุในร้านไม่มีเงาเด่นชัด  สร้างความรู้สึกทั้งแบน  บางสิ่งก็ลอย  และดูเหนือจริง

  • ใช้แสงที่อุณหภูมิสีค่อนข้างเย็น 3500-4500 K หรือ cool white :  ไม่อบอุ่นนักแต่ก็ไม่สว่างจ้าแบบ Daylight   เพื่อให้ดูสะอาด  ล้ำยุค  ไม่เน้นความนุ่มนวล   แสงสร้างภาพที่จงใจจะให้คุณ “ รู้สึกประหลาดใจ  หรือไม่สบายใจเล็กน้อย ” เพื่อทำให้จดจำ

    ความรู้สึกที่แสงนี้สร้างขึ้น:

  • เหงาแต่ดึงดูด: ขอบอกตามตรงเลย  ว่า  พวกเขาสร้างความสว่างแบบไม่มีจุดอบอุ่น  ไม่ให้ความรู้สึกสบายเสมือนอยู่บ้านหรอกนะ   แต่ก็นั่นแหละ  มันกลับดึงดูดให้เดินต่อ  ดูต่อ

  • เหมือนเป็น museum มากกว่าร้านค้า: แสงสร้างระยะห่างทางอารมณ์  ระหว่างภายในร้านกับเราผู้เข้าไปเยี่ยมชม  คล้ายกับการไปพิพิธภัณฑ์ ที่บอกว่า ดูแต่ตา มืออย่าต้อง

  • เหมาะกับแบรนด์ที่เน้นความ experimental: เพราะ Gentle Monster ไม่ได้ขายแว่นตาเพียงอย่างเดียว   พวกเขาขายมุมมอง โลกที่แตกต่าง และความเป็นศิลปะที่สวมใส่ได้

     ถ้าจะเทียบกับร้านทั่วไป:

ร้านทั่วไปใช้แสงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าดูแพง แต่ก็ดูจริงและจับต้องได้  แต่ Gentle Monster ใช้แสงเพื่อลบความรู้สึก "ปกติ" ออก  ให้คนรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกแฟนตาซี  หากคุณเป็นนักดู
ซีรีส์แนวไซไฟแล้ว  ในบางสาขาของ Gentle Monster  คุณคงนึกถึงลักษณะของโลกดิสโทเปีย 

    ถ้าเปรียบเทียบกับ Gentle Monster กับ Aesop : 

    Aspect

Gentle Monster

Aesop

    แสง

Uniform, สว่างจ้า, ไร้เงา

Warm, Low Light, มีเงา

    อารมณ์

Sci-Fi, แฟนตาซี, ระยะห่าง

Zen, Soft, ใกล้ชิด

 บทบาทของแสง

ทำให้รู้สึกแปลกใหม่เหมือนในนิทรรศการ

ทำให้รู้สึกสงบและมีสมาธิ

   เป้าหมาย

กระตุกความรู้สึก จดจำไม่ลืม

ดึงให้คุณกลับมาใช้เวลากับตัวเอง


    จากตัวอย่างสองแบรนด์นี้   เราจะเห็นได้ว่า  การออกแบบ   ’แสง’   ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคเท่านั้น  
    แต่เป็นการใช้   “ภาษาที่ไร้คำพูด” ของแบรนด์ได้เลย  ตามหลักการของการออกแบบแสงที่ว่า
    แสงนั้นคือ  Silent Language  หรือภาษาเงียบ  — การที่ Aesop ใช้แสงแบบวิหารที่มีพิธีกรรม 
    และ Gentle Monster ใช้แสงเหมือนพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะจากโลกอนาคต  มันสะท้อนตัวตน
    และวิธีสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจน.


    หากคุณมีร้านค้าแบรนด์อื่นที่น่าสนใจ  ส่งข้อความมาแลกเปลี่ยนกันได้นะ


7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

        7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว     บทสัมภาษณ์ David Autor ในรายการทางพอสแคสต์ Possible  ของ Reid Hof...