Pages

Saturday, December 13, 2025

Some Streets Never Have a Morning ( บางซอยไม่เคยเช้า )




From a public EIA participation meeting -
shared here to discuss how design shapes sunlight
 and daily life.





มีโอกาสได้ไปประชุม  EIA (Environmental Impact Assessment) ในฐานะประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะในซอยทางเข้าบ้านมีโครงการสร้างอาคารสูงเพิ่มขึ้น จากเดิมมีอยู่หนึ่งตึก กำลังก่อสร้างอีกหนึ่ง
และกำลังจะก่อสร้างต่ออีกสองตึก รวมแล้วสี่ตึก แต่ละตึกสูงร่วมยี่สิบกว่าชั้น


โครงการนี้มีการทำ EIA เลยติดประกาศประชุมโครงการมีส่วนร่วมให้ผู้อยู่อาศัย ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อศึกษาผลกระทบก่อนจะเริ่มก่อสร้างโครงการ  =  โครงการสร้างแน่นอน แต่จะสอบถามผู้อยู่อาศัยก่อน เผื่อว่ามีปัญหา จะได้เคลียร์กันก่อนไม่เป็นข้อร้องเรียนกันภายหลัง เพราะที่จริง จากพื้นที่ว่างๆโล่งๆ วันหนึ่งเกิดตึกสูงยี่สิบแปดชั้นขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ


EIA มองผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหลายด้าน คุณภาพชีวิต ดิน น้ำ ลม อากาศ  การจารจร แสงสว่าง และทัศนียภาพ


ในเรื่องของแสงอาทิตย์นั้น ผลกระทบที่โครงการศึกษาได้นำมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ;


🔆 พบผลกระทบแสงสะท้อนจากกระจกอาคาร ที่จะส่องเข้าตาคนขับรถบนถนน ซึ่งทำให้งานสถาปัตยกรรมโครงการนี้เปลี่ยนใช้กระจกหน้าต่างชนิดลดแสงสะท้อน  จาก Designเดิมที่ต้องการกระจกเป็นสีสว่าง ยอมใช้กระจกสีเข้ม


🔆 ผลกระทบจากการบังเงา เราเองเพิ่งเข้าใจว่า ที่เคยเข้าไปซอยใจกลางกรุงเทพแล้วรู้สึกว่า มันไม่ค่อยเจอแดด ก็เพราะเกิดจากเงาของอาคารสูงที่ทาบลงมานั่นเอง เงาของอาคารเปลี่ยนแปลงไปทั้งตามเวลาและฤดูกาล

🏢 การบังเงา กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เราใช้แสงอาทิตย์ในทางตรงๆ  ทั้งเรื่อง;


    👕 การตากผ้า ที่เราต้องการแสงสว่างในเวลากลางวัน วันละหกชั่วโมงขึ้นไป


   🌱🌳 ปลูกต้นไม้ ต้องการแสงสว่างในเวลากลางวัน ให้ต้นไม้เติบโต วันละหกชั่วโมงขึ้นไป


    💪💪😀 สุขภาพ คนเราควรได้แสงธรรมชาติ มากกว่าวันละสองชั่วโมง


    ⚡⚡⚡และ การติดตั้ง Solar roof ผลกระทบของการบังเงาที่มีต่อแผ่น Solar cell นั้น   ต่างจากการเกิดปัญหาการบังเงาในกิจกรรมอื่นๆ  บางครั้งการเกิดเงาให้ร่ม อาจจะเป็นผลดีในกิจกรรมอื่นได้บ้าง 

แต่เพราะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ Solar cell ต้องการรับนั้นยิ่งมากยิ่งดี ทำให้ผลกระทบเกิดอย่างที่ ‘ประเมินค่าไม่ได้ ’


การ Accept ยอมรับ เป็นการตัดสินใจของผู้ที่ได้รับผล จะเรียกร้องชดเชยก็สามารถทำได้  แต่อย่างไรก็ตาม EIA จะมองผลกระทบของโครงการจากพื้นที่รอบๆ เฉพาะที่เกิดขึ้นแล้วหรือมีอยู่เท่านั้น  ไม่ครอบคลุมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่จะเกิดภายหลัง


การ Accept ยอมรับ เป็นการตัดสินใจของผู้ที่ได้รับผล จะเรียกร้องชดเชยก็สามารถทำได้  แต่อย่างไรก็ตาม  EIA จะมองผลกระทบของโครงการจากพื้นที่รอบๆ เฉพาะที่เกิดขึ้นแล้วหรือมีอยู่เท่านั้น  ไม่ครอบคลุมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่จะเกิดภายหลัง


EIA ให้ข้อมูลเพียงว่า  เงาของอาคารสร้างผลกระทบในระดับ  “มาก-กลาง- น้อย”  แต่คำถามคือ  แล้วมันเพียงพอไหมสำหรับ “ การใช้ชีวิตจริง” ของเรา

อาคารสมัยใหม่มักนำเสนอภาพเรนเดอร์สวยๆ  เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสไตล์  Solarpunk   ที่ในชีวิตจริง  เงาอาคารอาจจะทาบลงมาทั้งวัน   เปลี่ยนซอยๆ หนึ่งให้กลายเป็น  microclimate 

“ ไม่เคยเช้า”  “ never has a morning”


และนี่คือสิ่งที่นักออกแบบเมืองหลายครั้งลืมคิด การสร้างความเขียวบนอาคารหนึ่งหลัง  may come at the cost of stealing sunlight from the whole neighborhood.

แสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่เราคิดว่า “ Unlimited”  แต่ในเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสูง มันกลับถูกบัง  ถูกปิดกั้น

จนกลายเป็นทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกว่าที่เราคิดมาก💬💬






Saturday, November 22, 2025

กลิ่น : สถาปัตยกรรมแห่งความทรงจำ




Peter Zumthor สถาปนิกชาวสวิส บัญญัติว่า “บรรยากาศเป็นสิ่งที่สถาปนิกไม่ได้ออกแบบโดยตรง แต่ต้องรู้สึกได้ - เมื่อแสง เสียง กลิ่น และอุณหภูมิ รวมตัวกัน ”


กลิ่นที่ลอยในอากาศ ราวกับสถาปัตยกรรมแห่งความทรงจำ มองไม่เห็นแต่ทรงพลัง  กลิ่นมีพลังมากกว่าเสียงหรือภาพ  เมื่อเราได้กลิ่น สมองส่วนความจำจะทำงานพร้อมสมองส่วนอารมณ์  เป็นเหตุผลว่า ทำไมกลิ่นของแชมพูถึงพาเราระลึกถึงแฟนคนเก่าได้โดยไม่ตั้งใจ



ฉันชอบกลิ่นน้ำหอมที่ไม่หวาน ชอบกลิ่นหนัง ที่ใครอาจไม่เชื่อว่ามีคนนำมาทำเป็นน้ำหอมด้วย  กลิ่นยาสูบก็มี  แปลกดี ทั้งที่กลิ่นแอบมีความคล้าย  ก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งในแก้วเบียร์  แต่ก็ยังชอบ  กลิ่นวานิลา-ทำให้นึกถึงในครัว กลิ่นสน - ที่ทำให้นึกถึงกลางคืน ในผับ วันที่ฝนตกปรอยๆ

 

ฉันได้พบกับงาน สถาปัตย์ ที่มองไม่เห็น ของ Alberto Morillas นักปรุงกลิ่นชาวสเปน ที่ออกแบบกลิ่นให้แบรนด์น้ำหอมหรู  ขาคือคนที่สร้างน้ำหอมจากภาพในหัว ไม่ใช่วัตถุดิบ  แม้จะไม่ได้ชื่นชอบทุกกลิ่นที่เขาทำ แต่พบว่ามีกลิ่นที่ถูกใจมาก


จะอุปาทานหรือความจำของเราหลอกตัวเอง เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมแล้วนึกไปถึง  ผิวตึงๆของลูกเชอร์รี่  แม้ในสารสกัดจะบอกว่าแบ็คเคอแรนท์ก็เถอะ  ที่ติดใจมากคือ กลิ่นผสมคล้ายควันเทียนที่ให้ความรู้สึกย้อนไปในยุคเก่า   ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นกลิ่นของ มดยอบ ชื่อไทยอาจจะแปลก ชื่ออังกฤษเรียกว่า Myrrh เป็นต้นไม้ในแอฟริกา เมื่อเผาไฟจะให้กลิ่นหอม สมัยอียิปต์ใช้เผาในพิธีกรรม   

ฉันได้น้ำหอมขวดนี้มา ก็ใช้บ่อยเพราะชอบ  ได้กลิ่นแล้วเหมือนเดินอยู่ในโบราณสถานเก่าของเมืองที่ไม่รู้จัก  ทั้งสงบและเศร้าในเวลาเดียวกัน.


น้ำหอมที่คุณชอบ มีกลิ่นของอะไร

ทำให้คุณนึกถึงใคร หรือ ที่ไหน บ้างไหม

ทิ้งข้อความไว้ใน  comment ข้างล่างได้นะ






Sunday, October 12, 2025

Fashion in the Future จาก RE.UNIQLO สู่แฟชั่นในอนาคต





เมื่อเรามองไปข้างหน้า  คิดถึงชีวิตในอีกสักห้าปีต่อไป   

 

ฉันเป็นแฟนคลับวารสารรายสามเดือนของแบรนด์ยูนิโคล่ ที่จริงไม่ได้สนใจเรื่องของเสื้อผ้าที่อยู่ในเล่มเท่าไหร่  ปรกติจะซื้อ ก็พวกแอสเซสเซอร์รี่  ชุดนอน กางเกงใส่อยู่บ้าน และชั้นในจากแบรนด์นี้บ้าง  แต่ของเหล่านั้นก็เป็นสไตล์ที่รู้อยู่แล้ว ไปถึงร้านหยิบชิ้นไหนก็ได้  ถ้าเป็นประเภทเสื้อ กางเกง  มักจะเลือกไอเท็มสูท เบลเซอร์ หรือชิ้นของผู้ชายที่สำหรับเราแล้วสวมใส่ง่ายกว่า

 

มาพูดถึงวารสารของยูนิโคล่  ที่เรียกได้ว่าเห็นแล้วต้องรี่เข้าไปหยิบ ( ฟรี ) มาจากร้าน  และยังอ่านซ้ำหลายครั้งจนคิดว่า คณะจัดทำต้องภูมิใจ  ที่อ่านซ้ำก็เพราะเราเองก็เป็นคนเขียนบล็อกได้มาอ่านคอลัมน์ในเล่ม  รู้สึกว่าสำนวนการเขียนดีทีเดียว  กระชับ  ภาษาดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป  และเขียนได้ไหลลื่น น่าอ่าน


หนึ่งเรื่องในวารสารที่น่าสนใจมาก และหลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่า  ยูนิโคล่ทำโครงการนำเสื้อผ้าเก่ากลับมาขายใหม่  แต่ไม่ใช่การนำเสื้อมือสองมาแขวนขายเฉยๆ หรอก แต่จะนำไปผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  Garment Dyeing ซึ่ง Dyeing หมายถึงการย้อม ยูนิโคล่จะนำเสื้อผ้าซักทำความสะอาดและย้อมพวกมันใหม่ด้วยสีโทนธรรมชาติ ได้แก่ แดง เขียว น้ำเงินและเทา  และด้วยสีเดิมของเสื้อผ้าที่แตกต่างกันทำให้สีที่ได้หลังจากการย้อมใหม่ แตกต่างกันไป ส่วนเส้นด้ายที่ใช้เย็บตะเข็บเป็นชนิดกันสีซึม จึงให้รายละเอียดที่โดดเด่น  นอกจากนั้นในกระบวนการซักทำความสะอาด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และย้อมสี  ยูนิโคล่ยังเลือกใช้วิธีที่ประหยัดน้ำด้วย


หลังจากผ่านการซักและการย้อมสี เสื้อผ้าเหล่านั้นยังคง  “เนื้อผ้านุ่ม ผิวสัมผัสปราณีต”  รายได้ส่วนหนึ่งของการขายเสื้อผ้ารีไซเคิลนี้  ยูนิโคล่นำไปบริจาคให้องค์กรส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนในชิบูย่า

 

อนาคต : ชีวิตในห้าปีข้างหน้า

ในโลกของแฟชั่นที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยการผลิตจำนวนมาก แนวคิดเรื่อง “ความใหม่” เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก   มันเป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากใส่คอลเลกชันล่าสุดจากรันเวย์  หรือสวมชุดใหม่ต้อนรับฤดูกาลใหม่แทนของเก่า  แต่ขณะเดียวกัน อีกกระแสหนึ่งก็น่าสนใจ—กระแสของ “การออกแบบของใหม่จากของเก่า


เมื่อเสื้อผ้า ไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม

ความงามของเสื้อยูนิโคล่ที่ผ่านการรีไซเคิล ไม่ได้อยู่ที่ลวดลายหวือหวา แต่มาจากแนวคิด  คัตติ้งแบบไม่มีส่วนเกิน ผิวสัมผัสที่แสดงถึงธรรมชาติของเนื้อผ้า และเฉดสีที่ไม่ได้พยายามจะโดดเด่น นี่คือแฟชั่นที่ไม่ต้องการเป็นจุดศูนย์กลางของสายตา  แต่มอบพื้นที่ให้ “ผู้สวมใส่” ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่


RE.UNIQLO คือจุดเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การย้อนกลับ


คำว่า “RE.” ที่ขึ้นต้นโครงการนี้ ไม่ได้แปลว่าการย้อนอดีต แต่คือการ “เริ่มต้นใหม่” ของการผลิตเสื้อผ้าที่เราออกแบบอนาคตด้วยสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันได้

ไม่ใช่เพียงยูนิโคล่ที่มีความคิดแบบนี้  หลายแบรนด์ก็เริ่มนำแนวคิดเดียวกันมาใช้ ทั้งการนำเสื้อเก่ามาย้อมใหม่ การใช้เศษผ้ามาเย็บเป็นลายพิเศษ หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการออกแบบเสื้อผ้าจากของเหลือในอุตสาหกรรม  คำถามง่ายๆ ที่เราถามตัวเองได้ว่า  เราต้องซื้อ “ของใหม่” ทุกครั้งหรือไม่?   เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันนี้ ยังมีโอกาสให้ออกแบบใหม่ได้ไหม?  และเราควรจะมองเสื้อผ้าเก่าในตู้ โดยให้ความหมายมันแค่เป็นของที่เก่าแล้วแค่นั้นหรือ?


ซึ่งในโลกแฟชั่นยุคนี้ ความ  “ใหม่” มักหมายถึง “ยังไงก็ขายให้เร็วที่สุด” และนั่นคือที่มาของ ปัญหาการผลิตล้นโลก

●  ทุกปีมีเสื้อผ้าใหม่ 80–100 พันล้านชิ้น ถูกผลิตทั่วโลก
●  แต่เกือบ 40% ของเสื้อผ้าเหล่านั้นคือจำนวนที่เหลือค้างขายไม่หมด จึงกลายเป็นสินค้าที่ถูกเผา ถูกฝัง หรืออัปไซเคิลโดยฉับพลัน

รวมแล้วในแต่ละปี เสื้อผ้ากว่า 92 ล้านตัน ตกอยู่ในหลุมฝังกลบ และน้อยกว่า 1% เท่านั้นที่ถูกรีไซเคิลกลับมาเป็นเสื้อผ้าใหม่

การรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า หรือเสื้อที่ถูกทิ้งจาก Fast Fashion  จึงเป็นแนวทางของแฟชั่นในอนาคตเพื่อลดขยะบนโลกนี้ และดูเข้ากันได้ดีกับกลิ่นไอแฟชั่นในแนวดิสโทเปียด้วย หลายแบรนด์ดังจับแนวคิดนี้มาสร้างสรรค์แฟชั่นสุดล้ำ  เช่น

1. Simon Cracker





แบรนด์อิตาลีที่ได้แสดงคอลเลกชั่นบนรันเวย์ ใน Milan Fashion Week โดยใช้เสื้อผ้าเก่า เต็มไปด้วย zipper ใหญ่  ปุ่ม  ขนาดที่ oversize และทรงของเสื้อผ้าออกแบบในสไตล์ dystopian  ที่สกายชอบคือเสื้อยืดที่มีป้ายติดบนอกเสื้อ


2. Duran Lantink
ดีไซเนอร์ชาวดัตช์  อัพไซเคิลเสื้อผ้าวินเทจให้เป็นลุคใหม่ที่มีเรื่องเล่า เช่น jackets กลายเป็น bodysuit งานออกแบบของแบรนด์นี้  ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของความทรงจำบนเสื้อผ้า


3. Marine Serre




ใช้ deadstock ผ้าเก่า เช่น ผ้าลูกไม้ ผ้าปูโต๊ะ หรือผ้าเช็ดตัว นำมาเย็บรวมในแนวออกแบบที่สะท้อนแนวคิดเรื่องแฟชั่นในอนาคต Eco- Futurist เสื้อผ้าของแบรนด์นี้สวยงามด้วยสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวที่เป็นสัญลักษณ์มาตั้งแต่เริ่มเดบิวต์


4. Christopher Raeburn (RÆBURN)




ใช้วัตถุดิบที่เหลือจากในอุตสาหกรรมแฟชั่นในการสร้างสรรค์  คอลเลกชั่นของ RÆBURN ที่โดดเด่นได้แก่ เสื้อกั๊ก แจ็กเก็ต ไอเทมเอ้าท์ดอร์  แบรนด์นี้เปลี่ยนลุกแบบทหารให้ออกมาเป็นแฟชั่น high-end



5. Looptworks

US brand เชี่ยวชาญด้าน upcycle ผ้าทิ้งจากโรงงาน ทำเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า ทำออกมาแต่ละรุ่นมี จำนวนจำกัด  เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ในเรื่องแฟชั่นที่มีแนวคิด Sustainability ที่ตลาดตะวันตกยอมรับ 


แนวคิดด้านแฟชั่นในอนาคต  ในแบบแฟชั่นเพื่อความยั่งยืนยังมีแนวคิดอื่นๆ เช่น แบรนด์

Patagonia Worn Wear  ให้ลูกค้าสามารถนำเสื้อของแบรนด์ที่ซื้อไปแล้วมาแลกได้  แบรนด์ E.L.V. Denim นั้นตัดเย็บกางเกงยีนส์จากยีนส์เก่า กลายเป็นกางเกงรุ่นใหม่  แบรนด์ Suay Sew Shop นั้นมาจากธุรกิจหลักเป็นโรงงาน upcycle ใน LA รับผลิตสินค้าและหน้ากากจากผ้ารีไซเคิล


หากคุณสนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนกระแสของแฟชั่นเพื่อความยั่งยืนแล้วล่ะก็  คุณอาจจะเริ่มจากการซ่อมแซมเสื้อผ้าประเภทคลาสสิกไอเทมเพื่อให้ใช้ได้นานๆ  ดี.ไอ.วาย.เสื้อผ้าของคุณเอง  นำเสื้อผ้าไปบริจาคในกล่องรับบริจากของยูนิโคล่  บางทีเสื้อของคุณอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของไอเทมใหม่ในซีซันถัดไป  แต่ไม่ว่าอย่างไหน ผลที่ได้ คือการทำให้เกิดของเสียน้อยลง🌅🌐🌈

# fashion # creativity economy # idea

Tuesday, August 12, 2025

7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

 

     




7 ข้อที่บอกว่า...คุณอาจเป็น Dystopian Protagonist โดยไม่รู้ตัว

 

 

บทสัมภาษณ์ David Autor ในรายการทางพอสแคสต์ Possible  ของ Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง 

Linkedin เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2025  Autor ตอบคำถาม เกี่ยวกับโลกอนาคตที่ใช้ AI

เมื่อถูกถามว่า โลกอนาคตจะเหมือน wall-e หรือ Mad Max มากกว่า

 

Autor  ตอบด้วยคำเตือนว่า

ผมเห็นภาพ MAD MAX ชัดเจนกว่า โลกอนาคตอาจเต็มไปด้วยการแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือน้อย ซึ่ง

ถูกผูกขาดโดยคนมีอำนาจ

 

 

ใครที่ดูภาพยนตร์สองเรื่องนี้ จะพบว่ามันมีความแตกต่างในประเภทหนังไม่น้อย ในขณะที่ Mad Max

หนังคนจริง เน้นการต่อสู้ระห่ำ ส่วน Wall-E เป็นอนิเมชั่นสำหรับเด็กที่พูดเรื่องดิสโทเปียในบรรยากาศ

เห็นความเหงาและความหวัง

 

แต่ทั้งสองเรื่องต่างเป็นภาพยนตร์ที่จินตนาการถึงโลกอนาคตข้างหน้าในวันที่ล่มสลาย

 

หนังแนว ดิสโทเปีย (Dystopian)  คือ หนังที่นำเสนอภาพของโลกหรือสังคมที่เลวร้ายและเสื่อมโทรม ซึ่ง

มักจะถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ หรือเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรง โดยในโลก

ดิสโทเปีย แสดงถึงความไม่เป็นธรรม การกดขี่ข่มเหง และการสูญเสียความเป็นมนุษย์ 


ลักษณะสำคัญของหนังแนวดิสโทเปีย เป็นอย่างไร ?

 

สังคมที่เสื่อมโทรม:

โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความอดอยาก การทำลายล้าง และความเสื่อมถอยในทุกด้าน 


การปกครองแบบเผด็จการ:

การควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลหรือกลุ่มอำนาจ ที่จำกัดเสรีภาพและสิทธิของประชาชน 


การสูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคล:

ประชาชนถูกลดทอนความเป็นปัจเจก กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ไร้ความหมาย 


ความขัดแย้งทางชนชั้น:

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง 


การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด:

เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมและทำลาย มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ 

 

 

ตัวอย่างภาพยนตร์แนวดิสโทเปีย:

 

The Hunger Games:

โลกหลังสงครามที่แบ่งเป็นเขตต่างๆ และมีการแข่งขันที่โหดร้ายเพื่อความบันเทิงของชนชั้นปกครอง 


Divergent:

โลกที่แบ่งผู้คนออกเป็นกลุ่มตามบุคลิกภาพ และมีการต่อต้านระบบที่กดขี่ 


Mad Max:

โลกหลังหายนะที่ผู้คนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในทะเลทรายที่โหดร้าย 


Snowpiercer:

โลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่บนรถไฟที่แบ่งชนชั้น 


Blade Runner:

โลกอนาคตที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์และมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง 


V for Vendetta:

ก็เป็นหนังดิสโทเปียแบบหนึ่ง  โลกที่ถูกปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการ และมีผู้ก่อการร้ายที่ใช้

สัญลักษณ์หน้ากากเพื่อต่อต้าน 


WALL-E:   โลกอนาคตที่มนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยขยะ    มนุษย์ต้องไปอาศัยใน

ยานที่โคจรอยู่รอบโลกแทน มีเพียงหุ่นยนต์ที่ยังเหลืออยู่บนโลก



โลกดิสโทเปียในจิตนาการ ก็มีลักษณะของเมืองแตกต่างกันไปด้วยเรียกว่าเป็น Punk  อย่างที่เรา

จะเห็นว่า Mad Max เป็นแนว Dieselpunk ; Blade Runner เป็นสไตล์ Cyberpunk )

ที่เราน่าจะคุยเรื่องของ punk ในโพสต์อื่นๆ ถัดไป



 

ก่อนที่อนาคตเช่นนั้นจะมาถึง อาจจะเพียงไม่กี่ปีหลังจากนี้ หรือในบางความเชื่อก็กล่าวว่า เมื่อคิดให้ดีๆ 

ไม่ใช่ว่าเรากำลังอยู่ในโลกดิสโทเปียแล้วหรือ?  สกายเลยลองหาเช็กลิสต์มาให้อ่านกันดู   จาก 7 ข้อนี้

คุณอาจใช้ชีวิตแบบ Dystopian Protagonist  อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว


( หรือคุณอาจเป็นคนที่ลืมเช็คข่าวดีๆ มานานแล้วก็ได้นะ )


ข้อที่ 1. คุณตั้งคำถาม กับสิ่งที่ “ทุกคนทำตามกันมา” เช่น

“ทุกคนต้องมีรถขับไหม?”  คุณอยากถามว่า มีรถเพื่ออะไร ?

ในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ “ทุกคนต้องรีบด้วยหรือ?” เพราะคุณคิดว่า รีบไปไหนกัน

แม้คุณไม่ใช่คนต่อต้านสังคม  แต่คุณไม่อยากเป็นน็อตตัวหนึ่งในเครื่องจักรที่กำลังทำงาน โดยที่คุณไม่รู้ว่าจะไปทิศทางใด


ข้อที่ 2. คุณไม่ตามแฟชั่น คุณใช้เสื้อผ้าสื่อความเป็นตัวเอง...แม้มันจะดู ‘ไม่เข้าพวก’ ชุดของคุณอาจไม่ต้อง

ตามเทรนด์  แต่ต้อง ตรงใจตนเอง คุณอาจจะเลือกใส่เชิ้ตซีดๆ กับกางเกงยูทีลิตี้เพราะมันพูดแทนได้ว่า

“ นี่คือฉัน  คนที่พร้อมจะวิ่ง หรือหายไปจากระบบได้ทุกเมื่อ”


ข้อที่ 3. คุณไม่ใช่ทุนนิยม ไม่สนใจว่าจะต้อง ‘ดูดี’ ในสายตาสังคม แต่สนใจว่าตัวเองยังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม

ไม่โพสต์รูปเที่ยวหรู แต่แชร์ความคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่บางคน

ส่องรีวิวร้านคาเฟ่ คุณส่องข้อมูลว่าโลกนี้มีเด็กที่ไม่มีไฟฟ้าใช้กี่คน



ข้อที่ 4. คุณลงมือทำให้โลกนี้ให้ดีขึ้น คุณมองเห็นรอยรั่วของสังคม  แล้วไม่ได้แค่เศร้า...แต่ ‘คิดว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง’คุณรู้ว่า  เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ภายในวันเดียว แต่คุณยังพยายาม  ผ่านหลายๆ แนวทางที่ทำได้ เช่น ผ่านศิลปะ  การออกแบบ ผ่านเสื้อผ้า ผ่านบทความ คุณคิดเปลี่ยนทีละมุมเล็กๆ  แม้จะรู้ว่าโลกนี้ใหญ่มาก


ข้อที่ 5. คุณต้องการความสงบเพื่อสร้างสรรค์ เพราะคุณพบว่า ‘ความโดดเดี่ยว’ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์   ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ เวลาคนอื่นกลัว

ความเงียบ คุณกลับพบแรงบันดาลใจในเสียงการอยู่ลำพัง ( เพราะคุณมีงานต้องทำ )

ในวันที่ทั้งโลกเสียงดัง  คุณตั้งใจฟังเสียงในใจ


ข้อที่ 6. คุณเชื่อว่า “อาวุธล่องหน”  ของคุณคือ ความเข้าใจตนเอง


คนอื่นอาจมีไลฟ์โค้ช มีสูตรสำเร็จ  แต่คุณมีแนวคิดที่มาจากการที่อยู่กับตัวเองอย่างซื่อสัตย์
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง


และข้อที่ 7 สุดท้ายนี้  คุณไม่อยากเป็นผู้ชนะ  แต่คุณอยาก ‘เข้าใจเกม’


ในขณะที่โลกเร่งสปีด  คุณคือคนที่ ค่อยๆ ถอยออกมามองภาพรวม  แล้วถามว่า “เกมนี้...มันแฟร์กับใครบ้าง?”

และแม้จะไม่มีคำตอบ  คุณก็ยังเลือกเดินแบบ “รู้ตัว” ไม่ใช่ “ตามใคร”

 

ถ้าคุณมี 3 ข้อขึ้นไปจากนี้ในชีวิต... ยินดีด้วย คุณอาจไม่ใช่ แค่ชาว Dystopian ธรรมดา แต่คุณอาจเป็น

ตัวเอก ใน Universe นี้เลยทีเดียว.








Some Streets Never Have a Morning ( บางซอยไม่เคยเช้า )

From a public EIA participation meeting - shared here to discuss how design shapes sunlight  and daily life. มีโอกาสได้ไปประชุม  EIA (Enviro...