Sunday, June 15, 2025

เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง : ความลับของสินค้าที่ดูแพง ( ตอนที่ 1)






เคยไหม ...ที่เดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง  แล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ ทุกอย่างดูดี

ไปหมด  ทั้งๆ ที่ของก็คล้ายๆ กับที่เห็นตามท้องตลาด  แต่กลับมีอะไรบางอย่าง   ทำให้เราหยิบจับ

มันด้วยความรู้สึกพิเศษกว่าปกติ  ความลับนั้นไม่ใช่เพียงแค่การจัดเรียงสินค้า หรือแบรนด์หรูที่

ติดอยู่บนป้าย

 

อะไรบางอย่างนั้น  คือ แสง’



ใช่แล้ว แสงสว่าง  ก็เรื่องธรรมดาๆ ที่  คนส่วนใหญ่อาจจะใช้เพียงแค่ให้ในร้านต้องสว่าง ไม่ทันสังเกตอะไรมากกว่านั้น  แต่ในมือของนักออกแบบหรือเจ้าของร้านที่เข้าใจ แสงเปรียบเสมือนอาวุธล่องหน (invisible weapon) ที่ทรงพลังที่สุดในการเล่าเรื่องของสินค้า และยกระดับอารมณ์ของผู้ซื้อ ให้รู้สึกว่า "ของธรรมดา" ดู "มีคลาส" ขึ้นมาได้ในพริบตา

 

 

แสงที่ทำให้ของดูแพงขึ้น




แสงที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ

สามารถเปลี่ยนขวดน้ำหอมที่ไม่ใช่แบรนด์หรู  ให้ดูเหมือนงานศิลปะ

เปลี่ยนขวดแชมพูเรียบๆ  ให้เหมือนผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำของโรงแรมห้าดาว

เปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดา ให้ดูเหมือนออกมาจากรันเวย์

 

เพราะในที่สุดแล้ว...แสงคือการชี้นำสายตา  มันสามารถดึงดูด, ซ่อน, ย้ำ และแสดงออกได้ในเวลาเดียวกัน


ตัวอย่างเช่น  แบรนด์เครื่องสำอางอย่าง Aesop หรือ Le Labo รู้ดีถึงเรื่องนี้ พวกเขาใช้แสงวอร์มโทนอบอุ่น และการซ่อนไฟแบบ backlight การใช้เงาที่ขับเส้นสายของสินค้า  เพื่อที่จะพูดว่า   "สิ่งที่คุณเห็นตรงหน้านี้ไม่ธรรมดานะ"


 

ร้านที่ขายด้วยแสง จะไม่ใช่แค่ขายสินค้า!





หลายคนเคยเดินเข้าไปในร้านที่ไม่มีพนักงานทักทายทันทีในก้าวแรก  ไม่มีดนตรี ไม่มีอะไรเรียกร้องความสนใจ แต่คุณกลับ "อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ" และอาจเผลอควักบัตรจ่ายแบบไม่รู้ตัว

ร้านแบบนั้นไม่ได้ขายของด้วยการพูด...แต่ขายของด้วย บรรยากาศ และแสงคือผู้บรรเลงหลักของบรรยากาศนั้น

 

ตัวอย่างร้าน COS,  ร้านแว่นตาอย่าง Gentle Monster หรือแม้แต่ร้านกาแฟหลายแบรนด์ ล้วนใช้การออกแบบแสงเพื่อพาคนเข้าสู่โลกของแบรนด์  พวกเขาไม่ได้ใช้แสงเพื่อทำให้สินค้าสว่างเท่านั้น  แต่ใช้แสงเพื่อ "สร้างอารมณ์ร่วม" ระหว่างคนและสิ่งของ


ในฐานะนักออกแบบร้าน ฉันเคยเห็นหลายเคสที่ร้านเพิ่มยอดขายได้ เพียงเพราะปรับแสงใหม่

ร้านเดียวกัน ขายสินค้าเดิม แต่เปลี่ยนจากแสงฟลูออเรสเซนต์แข็ง ๆ เป็น spotlight สีทองอ่อนสลัว  ลูกค้ากลับรู้สึกว่าสินค้าขวดเดียวกัน “ดูดีขึ้น” และมีแนวโน้มจะซื้อเพิ่ม

แสงไม่ใช่แค่ใช้ตกแต่ง แต่เป็นหนึ่งใน กลยุทธ์ ของการตลาดและใช้ หลักจิตวิทยาผู้บริโภค

ร้านกาแฟที่ดูดีมาก ๆ หลายแห่ง แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเก้าอี้ไม้ธรรมดา โต๊ะปูน และแสงอุ่นจากโคมหลอดไส้


มันคือการออกแบบประสบการณ์ มากกว่าการขายของ



แสงกับจิตวิทยา: สิ่งที่คนสัมผัสโดยไม่รู้ตัวแต่รู้สึกได้


เราอาจไม่ทันสังเกต  ว่าไฟในร้าน Muji มีโทนอบอุ่นระดับ 2700K   หรือคิดได้ว่าแสงไฟในร้าน Aesop นั้นทำให้ผิวของเราในกระจกดูสุขภาพดี  แต่สมองของเรารับรู้  และมันแปลผลออกมาเป็นอารมณ์ที่พึงพอใจ  แล้วสรุปตีความว่า

"ของในร้านนี้ดูมีคุณค่า"   หลายครั้งก็พาเราจ่ายเงินมากกว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก

 

 

Rebellious Ambience: แสงที่ไม่อยู่ในกฏเกณฑ์แต่ทรงพลัง

 

ร้านหรูบางร้านเลือกใช้แสงอย่างเป็นระเบียบ สว่างใสเสมอกันทั้งร้าน  แบรนด์ทางเลือก (Alternative Brands) กลับเลือกใช้แสงอย่างกล้าหาญ : มืด, มีแสงเฉพาะจุด, เงาเยอะ, หรือแม้แต่แสงสีแดงน้ำตาลที่ชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง

แบรนด์แฟชั่นอย่าง Rick Owens, Our Legacy หรือแม้แต่คาเฟ่แนวมินิมัลสุดโต่งหลายแห่ง ใช้แสงในแบบที่ไม่ convention แต่มันกลับมีเสน่ห์เฉพาะตัว  เป็นแสงที่ไม่ได้อธิบายตรงๆ ว่าผู้ที่เข้ามาสัมผัสจะต้องรู้สึกอย่างไร  แต่มันทำให้รู้สึก "แตกต่าง"

 

 

ทำไมแสงถึงทำให้ของ “ดูแพง”


• แสงสร้างคอนทราสต์

การมีเงาและไฮไลต์ช่วยเน้นรูปร่างพื้นผิว ทำให้สิ่งของดูมีมิติ ไม่แบนราบแบบแสงทั่วไปในบ้าน


• แสงนำายตา

การใช้ spotlight ส่องเฉพาะสินค้าชิ้นสำคัญ ทำให้มัน “เด่น” ขึ้นมาในความรู้สึกของคนดู


• แสงกำหนดอารมณ์ของแบรนด์

เช่น ร้านเครื่องสำอางบางร้านใช้แสงที่นุ่มเหมือนแสงเทียน ให้รู้สึกถึงความหรูหรา นุ่มละมุนและเป็นกันเอง ร้านแฟชั่นแนวมินิมัลบางแห่งกลับเลือกแสงกลางวันจ้า ให้ความรู้สึก honest, clean และสมัยใหม่


 

 

ร้านไหนที่ใช้แสงได้อย่างน่าสนใจบ้าง?


Aēsop: ใช้แสง warm yellow สลัว  ตั้งใจให้แสงตกกระทบขวดแก้วสีน้ำตาล amber ได้อย่างงดงาม


Apple Store: ใช้แสงแบบ daylight เพื่อสื่อสารความเรียบ เที่ยงตรง โปร่งโล่ง


Uniqlo: แสงสว่างแบบทั่วถึงเพื่อให้สินค้าดูจริง และให้ความรู้สึกใกล้เคียงแสงธรรมชาติ


ร้านหนังสือ Tsutaya ที่ญี่ปุ่น: ใช้แสงในชั้นหนังสือได้อบอุ่นเหมือนห้องสมุดส่วนตัวในฝัน


Gentle Monster เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากในเรื่อง "แสง" และ "อารมณ์" เพราะพวกเขาใช้แสงเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “การเล่าเรื่อง” ไม่ใช่แค่เพื่อให้เห็นสินค้าเท่านั้น

 

 




 

บ้าน ที่ใช้แสงเล่าเรื่อง


อย่าคิดว่าเรื่องของแสงมีไว้แค่ในร้านค้า  เราสามารถเปลี่ยนมุมห้องของตัวเองให้ดูแพงขึ้น เงียบขึ้น หรือดูลึกลับขึ้นได้ด้วยโคมไฟเพียง 1 ดวง


เช่น การใช้แสงสลัวๆ จากโคม LED แบบพกพาสักโคมไปวางที่ระเบียงบ้าน ที่นั่นก็พร้อมจะดินเนอร์แล้ว  เป็นตัวอย่างของแสงที่ให้ mood มากกว่าความสว่างจริงจัง แสงได้สร้างการเล่าเรื่องชีวิตในแบบ soft power

การจัดแสงในบ้านก็ไม่ต่างจากการจัดแสงในร้าน  เราแค่ย้ายความตั้งใจและความรู้สึกมาไว้ในพื้นที่ของตัวเอง แค่นั้น บ้านก็เปลี่ยนเป็นโลกอีกใบได้ทันที

 

เราเริ่มจากลองใช้ "แสง" เล่าเรื่องในบ้าน ได้ง่ายๆ เช่น  

• ใช้โคมไฟตั้งพื้นหรือตั้งโต๊ะที่มีแสง warm white (2700–3000K) แทนที่จะเปิดไฟเพดาน

ทั้งห้อง

• ใช้แสงส่องเฉพาะมุม เช่น มุมวางหนังสือ โซฟา หรือโต๊ะทำงาน เพื่อให้พื้นที่ดูมีโฟกัสมาก

ขึ้น

• อย่ากลัวเงา — บางครั้งการมีเงาช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้สิ่งของ


จะใช้แสงเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในชีวิตประจำวัน หรือจะใช้เพื่อโอกาสพิเศษก็ได้ แล้วรอดูผลลัพธ์ว่า  ความรู้สึกของเราแตกต่างจากเดิมไปอย่างไรนะ  



สิ่งสำคัญอีกเรื่องสำหรับเราที่อยากใช้แสงเล่าเรื่องในบ้าน  นั่นคือ แสง ไม่ใช่เรื่องของงบประมาณเสมอไป

 

โคมตั้งพื้นราคาไม่แพงบางรุ่นก็ให้ผลลัพธ์ที่ดี  หลอด LED แบบปรับอุณหภูมิสีได้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในบ้านทั่วโลก แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ หรือมุมเล็ก ๆ ในบ้าน แต่ถ้าออกแบบแสงได้ดี ก็สร้างความรู้สึก “แพง” และอบอุ่นได้เช่นกัน

 

 

 

สรุป: แสงคือภาษาลับของสิ่งธรรมดา

 

ร้านที่ขายดีที่สุด อาจไม่ใช่ร้านที่ พนักงานขายพูดเก่งที่สุด หรือมีสื่อต่างๆให้อ่านมากมาย

แต่คือร้านที่ใช้แสงเล่าเรื่องแทนทุกคำพูด


แสง ทำให้เราหยิบจับสิ่งธรรมดาด้วยมือที่อ่อนโยนขึ้น มองสินค้าด้วยสายตาที่เปิดกว้างขึ้น

และจ่ายเงินด้วยความรู้สึกว่า "มันคุ้มค่า"


แสงจึงไม่ใช่แค่ของตกแต่ง แต่คือเครื่องมือในการขับเคลื่อนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

"บางร้านไม่ได้ขายของ...แต่ขายความรู้สึกบางอย่างที่คุณไม่เคยลืม"

 

บางครั้งเราไม่ได้อยากได้ของราคาแพง  แค่เราอยากรู้สึกว่า “ชีวิตเราดูดีขึ้น”

และแสง — อาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้รู้สึกแบบนั้น


ลองเริ่มจากในบ้าน  จัดแสงใหม่สักจุด  เปิดไฟตั้งพื้นสักมุม  ดูเงาที่ตกลงบนผนัง

แล้วคุณอาจจะพบว่า... คุณไม่ได้เปลี่ยนแค่แสง


คุณเปลี่ยนความรู้สึกของคุณเอง.






Sunday, June 1, 2025

Power of See-through: พลังของความบางเบา

 

Power of See-through: พลังของความบางเบา


 “ชุดชั้นใน”    ไม่ใช่แค่เพียงเครื่องนุ่งห่มชั้นในสุดของร่างกาย  


แต่คือความมั่นใจที่อยู่ใต้เสื้อผ้า   ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม 

ยิ่งในโลกแฟชั่นที่บางครั้งเสียงของเส้นสายละเอียดอ่อนกลับดังที่สุด 

ชุดชั้นในแบบ see-through ที่ทำจากผ้าโปร่ง บางเบา เป็นหนึ่งใน

ไอเท็มที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้  ไม่ว่าสำหรับร่างกายผู้หญิงหรือผู้ชาย 


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของดีไซน์ชุดชั้นใน

อย่างชัดเจน  โดยเฉพาะโครงสร้างซับซ้อน กระทั่งโครงเหล็กที่เคยซ่อน

ไว้เพื่อใช้ดามทรงในบราของผู้หญิง   สู่การลดทอนให้เหลือเพียงเส้นสาย

เรียบง่าย วัสดุโปร่งเบา  คัตติ้งที่แทบไม่มีอะไรเลย  และไม่มีความเจ็บ

จากการถูกเหล็กบีบรัดผิวเนื้ออีกแล้ว   แต่กลับให้ความมั่นใจแก่ผู้สวมใส่

มากกว่าชุดชั้นในลูกไม้ซับซ้อนแบบเดิม 


หนึ่งในแบรนด์ที่เคยนำเสนอแนวคิดนี้ได้ลึกซึ้งคือ  Uniqlo x Mame

Kurogouchi  คอลเลกชั่นชุดชั้นในสุภาพสตรี  ที่นำความมินิมอลของ

ญี่ปุ่นมาผสานกับวัสดุผ้าโปร่ง see-through อย่างชาญฉลาด  โดยไม่ลืม

เรื่องสรีระศาสตร์และความสบายของผู้หญิงในชีวิตจริง   ชุดชั้นในที่โปร่ง

เบาแต่ครอบคลุม ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นเสมือนผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง

เรียบลื่น แนบเนียนกับร่างกาย  โดยเฉพาะกางเกงชั้นในกระชับสัดส่วน

ที่ทำได้ดีมากๆ ช่วยเก็บทรงแต่ไม่อึดอัดสักนิดเดียว  














แม้ในปัจจุบัน Uniqlo จะไม่ได้ผลิตไลน์ see-through แบบนั้นต่อแล้ว  แต่แนว

คิดนี้ก็ไม่ได้หายไปจากโลกแฟชั่นแบรนด์ในตลาด mass อย่าง Cos, Arket, Muji 

หรือแม้แต่แบรนด์สัญชาติเกาหลีอย่าง Aritaum และ  Stylenanda  ก็เริ่มพัฒนา

เส้นทางของชุดชั้นในที่เน้น ความบาง โปร่งเบา เรียบง่าย  มากขึ้นเรื่อยๆ


เพราะในวันที่เราไม่ได้แต่งตัวเพื่อโชว์ใคร ความงามภายในก็ยิ่งต้องชัดเจน 

และสิ่งที่อยู่ใต้สุดอย่างชุดชั้นใน ก็อาจเป็น “อาวุธล่องหน” ที่ทำให้เรารู้สึก

เป็นเจ้าของร่างกายตัวเองอย่างแท้จริง


ความโปร่งใสในแฟชั่น ไม่ได้แปลว่าต้องโป๊ หรือยั่วยวนเสมอไป มันคือการ

ยอมให้เนื้อผ้าและการตัดเย็บเผยให้เห็น “สิ่งที่เรายินดีจะเปิดเผย” และ

เลือกปิดบังอย่างมีสไตล์  เป็นภาษาของความรู้สึกที่ซื่อสัตย์แต่เฉียบคม



ในที่สุด ชุดชั้นใน see-through ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่มันคือการเลือกใช้วัสดุ

รูปทรง และเส้นสายเพื่อปลดปล่อยอำนาจในแบบของเราเอง—บางครั้ง

ความเรียบง่ายที่สุด กลับเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดในโลกแฟชั่น.


Monday, May 12, 2025

ยูนิฟอร์มของนักเดินทางในจินตนาการ " Uniform of nowhere "


 " Uniform of nowhere " คำนี้เป็นเพียงนิยามของแนวแฟชั่นนอกกระแส  สไตล์ไม่ตามใคร  อันมีรูปลักษณ์  และกลิ่นอายของชุดยูนิฟอร์มเป็นส่วนประกอบแฝงอยู่


เราอาจจะเคยจินตนาการตามนิยายสักเรื่อง  ภาพของชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปลายๆ ตัวสูง  ขายาว กำลังก้าว

เดินผ่านฝูงชนด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียบเฉย   เขาอยู่ในชุดเสื้อโอเวอร์ไซส์สีหม่นที่ดูรู้ว่าคลุมทับลำตัวที่ผอมบางไว้    กางเกงยาวทรงหลวมทำให้ปลายขากองทับบนรองเท้าหนังเล็กน้อย  ถึงเสื้อผ้าจะเป็นสีหม่น  แต่จมูกคนที่เดินสวนกับเขากลับได้กลิ่นหอมบางๆ ลอยอ้อยอิ่งตามหลัง  กลิ่นนั้นเหมือนผิวของไม้แห้งที่เพิ่งผ่าซีก ปะปนกับเส้นยาสูบหวานๆ ...ทำให้เราต้องเหลียวหลังกลับไปมองเขา   ไม่ใช่ทุกคนที่จะสังเกตเห็นคนคนนี้ตั้งแต่แรก  

แต่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า   นี่คือใครบางคนที่เท่มากๆ ...


และเราก็อยากรู้จักเขาขึ้นมา 



เมื่อแฟชั่นลุค  " Uniform of nowhere "   ไม่ใช่มีอยู่แต่ในนิยาย  

 

" Uniform of nowhere "   คือคำที่ Sky ใช้เรียกแฟชั่นลุคนี้  สำหรับใครคิดว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงดังของโซเชียลและแสงสีของไฟป้ายโฆษณา   อยากขอมีเวลาบ้างที่อยากเลือกจะนิ่ง เงียบ  ทำตัวล่องหนแต่ไม่อยากหายไป

ลองเลือกลุคนี้ดู    เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้ชวนให้ทุกคนหันมามองทันที   แต่ถ้าใครได้มองแล้ว ก็ยากที่จะละสายตา



ด้วยคำว่า “ nowhere”​ ทำให้คาแรกเตอร์แฟชั่นต้องเป็น “ คนเร่ร่อน ” สินะ หรือนักเดินทางผู้ที่เราไม่รู้จุดหมาย แต่ก็แค่ในความคิดนะ   รักจะเป็นคนเร่ร่อน   ก็ไม่ต้องตามเทรนด์ ! ( ต้องหัวเราะดังดัง)   เพียงขอให้เป็นเสื้อผ้าที่บอกเล่าเรื่องราวบางอย่างของคนใส่


คนที่ไม่อยากให้ใครสะดุดตาทันที   แต่ก็ไม่ใช่คนที่ถูกลืม


ด้วยแรงบันดาลใจจาก การเลือกยูนิฟอร์มของ นักเดินทาง  พวกเขาจะแต่งกายอย่างไรนะ ? คนเร่ร่อน คนที่มีแนวทางความคิดที่ไม่ยึดติดกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง  หรือยึดติดกับสิ่งใด   การหยิบเสื้อผ้ามามิกซ์แอนด์แมทช์จึงไม่ได้ ตั้งใจ  จะให้เท่  แต่เพราะเช่นนั้นแหละ   ลุคนี้กลับดูดีจากความเรียบง่ายและจริงใจ   สไตล์ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Minimalism และ Bohemian  เป็นอิสระ ในแบบที่คิดมาแล้ว


ฟังดูเป็นนามธรรมขนาดนั้น จะแต่งออกมาอย่างไร ? 



เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และบรรยากาศ สีที่ใช้จึงเป็น Earth tone หรือ Muted tone สีหม่น สีเทา สีซีเปีย หรือขาวอมควัน เนื้อผ้ามี texture อย่างลินิน ผ้าฝ้าย ขนสัตว์หยาบ หรือผ้าใบ กางเกงมักเป็นทรงหลวมคล้ายชุดทำงานยุคเก่า หรืออาจคล้ายกางเกงยูนิฟอร์มทหารเก่า รองเท้าเป็นหนังขัดแบบไม่มันวาว หรือรองเท้าผ้าใบสีจางๆ   Sky มีลุคของแฟชั่น  " Uniform of nowhere " ในแบรนด์ต่างๆ มาให้ดูกัน 



1. Rick Owens




Owens ออกแบบเสื้อผ้าในแบบล้ำสมัย เรียบง่าย แฝงความคิดแบบเป็นตัวของตัวเอง  ไม่ตามความนิยม  เสื้อผ้าของ Owens  ดูราวกับมาจาก เวลา สถานที่แห่งอื่น ไม่ใช่ยุคอดีต  แต่ก็ไม่ใช่หลุดมาจากอนาคตเสียทีเดียว เสื้อคลุมชายยาวมีเลเยอร์ซ้อน  กางเกงเป้าต่ำ  กับรองเท้าบู๊ต  คล้ายกองทัพประชาชนที่เราเห็นจากซีรี่ส์ฝรั่งหลังวันสิ้นโลก  แต่งานของ Owens ไม่ได้ดูรุนแรง กลับดูสะอาดสะอ้าน


วิธีคิดของ  Owens  นั้น โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทีเดียว ดูได้จากรองเท้า Converse แค่ยกแผ่นรองใต้เชือกผูกให้สูงขึ้น ก็ดูรู้ว่าเป็น Rick Owens ทันที  สุดยอดมาก!




2. Yohji Yamamoto


อีกรูปแบบหนึ่งของ " Uniform of nowhere " ที่แตกต่าง  Yamamoto ให้ความรู้สึกถึงบทกวี ผ่อนคลาย กลิ่นอายของภูมิปัญญา  แบบฉบับของแนวทางตะวันออก  มักใช้สี ดำ กับเลเยอร์ของเงา และเป็นเสื้อผ้าที่ไม่เน้นส่วนโค้งเว้า  แฟชั่นของ Yamamoto เป็นสไตล์ของคนที่มีกฏเกณฑ์ของตนเอง นักคิด นักผจญภัย ไม่ตามใคร 






3. Alyx by Matthew Williams






Alyx  เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ผสมผสาน เสื้อผ้าสตรีทแวร์ที่มีการนำดีเทลของพวกอุปกรณ์สารพัดประโยชน์มาใช้  โดยเฉพาะหัวเข็มขัดที่ประยุกต์มาจากตัวล็อกของกระเป๋าเป้ หรือสายรัดที่นั่ง  Alyx ออกแบบได้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างที่สุด 


 Alyx  มักจะทำเสื้อผ้าออกมาในโทนสีธรรมชาติแบบหม่นๆ  นึกถึงลักษณะของเสื้อผ้าในซีรีส์ที่มีพนักงานทำงานในห้องแลปล้ำยุค นั่นน่าจะเป็นฟีลของ Alyx เลย 


4. Craig Green








แฟชั่นของ Green อยู่ระหว่างเสื้อผ้า กับ เครื่องแบบทหาร  ลักษณะแบบยูนิฟอร์ม  สายรัดแบบเข็มขัด การเดินเส้น  ให้ความรู้สึกระหว่าง เสื้อผ้าแบบพิธีการและยูนิฟอร์มเอเลี่ยนในเวลาเดียวกัน 



5. Our Legacy







แบรนด์สวีดิช  ที่มีกลิ่นอายขบถหน่อยๆ เฉพาะตัว  และ  แน่ละ ว่าไม่ตามใคร   นึกถึงแบรนด์นี้ต้องคิดถึงภาพของนักคิด หรือนักประดิษฐ์  ที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงทรงแปลก  เริ่มงานในตอนเช้าที่ค่อนข้างอึมครึม  พร้อมจิบกาแฟดำ   ขณะที่กำลังเสก็ตช์พิมพ์เขียวสิ่งประดิษฐ์ใหม่





ทั้ง 5 แบรนด์ล้วนมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน  แต่ก็สามารถแปลงเป็นแนวที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้ด้วย  โดยไม่ต้องไปจนสุดโต่ง   Sky ลอง mix & match มาให้ดู เป็นแนวทาง 



1. Rick Owens – Dark Glamour & Avant-Garde Minimalism

แต่งตามได้อย่างไร ? 

  • เสื้อผ้าสีดำล้วน หรือโทน เทาเข้ม หรือเทาครีม

  • ให้เงาโดยเลือกแบบที่มีชายยาว ทรงหลวม  หรือเนื้อผ้าพลิ้ว 

  • ใส่บู๊ต หรือรองเท้าส้นหนา แม้ในวันปกติ

  • จับคู่เสื้อแขนยาวทรงโอเวอร์ไซส์กับกางเกงเป้ายาน

แนะนำ: ลองหาเสื้อโทนเทา-ดำทรงยาวคู่กับกางเกงทรงหลวม  และสนีกเกอร์สีดำ จะได้ฟีลแบบ Rick Owens โดยไม่เว่อร์เกินไป

2. Yohji Yamamoto – Poetic Deconstruction & Japanese Tailoring

วิถีแห่งตะวันออก

  • เสื้อเชิ้ตชายยาว คู่กางเกงผ้าทรงกว้าง

  • โทนสีดำทั้งหมด แต่ลูกเล่นอยู่ที่  “เนื้อผ้า” ต่างกัน

  • สวมแจ็กเก็ตทรงเบลเซอร์แต่ไม่ต้องฟิตเป๊ะ   เสริมกลิ่นญี่ปุ่นร่วมสมัย

  • เพิ่ม layering การแต่งตัวด้วยการสวมเสื้อซ้อนกัน เนื้อผ้าเบาๆ ที่เคลื่อนไหวได้สะดวก

แนะนำ: ใส่เสื้อเชิ้ตโอเวอร์ไซส์ปล่อยชายทับกางเกงขากว้าง พร้อมแจ็กเก็ตบางๆ ไม่ต้องรีดให้เนี้ยบ


3. Craig Green – Utility & Symbolism

ขอสายรัดเข็มขัดและสีหม่น

  • เสื้อ utility jacket  มีเชือก/สายรัด เป็นไอเท็มเด่น 

  • โทน earth tone เช่น เขียวอ่อน น้ำตาล กากี

  • จับคู่กับกางเกงคาร์โก้ทรงหลวม

  • ใส่ layering ที่ดูมีโครงสร้าง เช่น เสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ต

แนะนำ: ใช้เสื้อแจ็กเก็ตมีกลิ่นงานช่าง/ทหาร มาจับคู่กับกางเกงคาร์โก้ และรองเท้าบู๊ตหรือ loafers พื้นยิ่งหนายิ่งดี

4. 1017 ALYX 9SM – Techwear & Urban Armor

  • เสื้อผ้าสีดำหรือ metallic grey

  • รายละเอียดเทคนิค เช่น สายรัดแม่เหล็ก (rollercoaster buckle), ผ้าไนลอน

  • กางเกงทรงตรงพอดีตัว + เสื้อฮู้ด

  • ใส่สนีกเกอร์ทรง chunky ที่ตัวรองเท้าเรียบๆ แต่จะมีพื้นยางหนาๆ นวมๆ  หรือ รองเท้าบู๊ตที่ทรงเรียบแต่พื้นยางหนานวม 

แนะนำ: หาเข็มขัดสไตล์ Alyx มาใส่กับลุคขาว-ดำ จะเพิ่มดีกรีของดีไซน์โดดเด่น โดยไม่ต้องเต็ม look


5. Our Legacy – Neo-Vintage & Relaxed Tailoring

 ลุคที่ต้องมองซ้ำ

  • เสื้อเชิ้ตผ้าลินิน, ผ้าโปร่ง เบา สวมทับเสื้อยืด

  • กางเกงสแล็คขากระบอก เตี๊ยมกับ loafers หรือ slip-on

  • เลือกใช้สี “ซีด” โทนสีคลาสสิคซีดจาง เหมือนงานวินเทจที่ผ่านกาลเวลา

  • แว่นกันแดดทรงเรียบ แบบ minimal 

แนะนำ: เสื้อเชิ้ตวินเทจซีดๆ คู่กับกางเกงผ้าลินินสีขาวครีม หรือเขียวมะกอก ใส่กับรองเท้า loafers กำมะหยี่ ให้ความเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา บอกได้เลยว่าต้องมองซ้ำ 


บทสรุป


แฟชั่นของ 5 แบรนด์นี้ ที่ Sky แนะนำเป็นทางเลือก แม้มองครั้งแรกอาจจะคิดว่า   “ล้ำ”  เกินชีวิตประจำวัน  แต่จริงๆ  แล้วสามารถนำมาดัดแปลงได้หลายระดับ  ขึ้นอยู่กับการเลือก  เนื้อผ้า โทนสี   และ เลเยอร์  ที่เหมาะกับชีวิตจริง  และยังคงจิตวิญญาณของ “ Uniform of nowhere” ไว้อย่างเต็มเปี่ยม


คุณอาจจะลองเริ่มจาก


• เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีซีดที่ดูใส่แล้ว   ...จะอยู่บ้านก็ได้    แต่ถ้าใส่คลุมด้วยเสื้อคลุมยาวทรงหลวม มันจะดูเหมือนคนที่พกเรื่องราวมาเต็มเป้


• ถ้าไม่ชอบกางเกงตัวใหญ่ ลองแมตช์กางเกงยีนส์ซีดกับรองเท้าหนังแบบสวม  


เสื้อผ้าเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ  สไตล์นี้เปรียบได้กับอาวุธที่ไม่ฟาดฟัน  แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ไม่ธรรมดา คนที่สวมใส่ไม่จำเป็นประกาศตน   แต่คนที่มองเห็นจะรับรู้ได้ทันทีว่า เขาไม่ธรรมดา  มันคือการบอกว่า “ฉันมีตัวตน แต่ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ในจุดสนใจ”



เสน่ห์ของ  “ Uniform of nowhere”


มันไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่คือแนวคิดในการมีชีวิตอยู่แบบไม่ต้องให้ใครอนุญาต

เพราะบางครั้ง...เราก็แค่ต้องการชุดที่ใส่แล้ว " รู้สึกหายตัวได้ ".




เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง : ความลับของสินค้าที่ดูแพง ( ตอนที่ 1)

เคยไหม ...ที่เดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง  แล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ ทุกอย่างดูดี ไปหมด  ทั้งๆ ที่ของก็คล้ายๆ กับที่เห็นตามท้องตล...