Sunday, June 15, 2025

เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง : ความลับของสินค้าที่ดูแพง ( ตอนที่ 1)






เคยไหม ...ที่เดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง  แล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ ทุกอย่างดูดี

ไปหมด  ทั้งๆ ที่ของก็คล้ายๆ กับที่เห็นตามท้องตลาด  แต่กลับมีอะไรบางอย่าง   ทำให้เราหยิบจับ

มันด้วยความรู้สึกพิเศษกว่าปกติ  ความลับนั้นไม่ใช่เพียงแค่การจัดเรียงสินค้า หรือแบรนด์หรูที่

ติดอยู่บนป้าย

 

อะไรบางอย่างนั้น  คือ แสง’



ใช่แล้ว แสงสว่าง  ก็เรื่องธรรมดาๆ ที่  คนส่วนใหญ่อาจจะใช้เพียงแค่ให้ในร้านต้องสว่าง ไม่ทันสังเกตอะไรมากกว่านั้น  แต่ในมือของนักออกแบบหรือเจ้าของร้านที่เข้าใจ แสงเปรียบเสมือนอาวุธล่องหน (invisible weapon) ที่ทรงพลังที่สุดในการเล่าเรื่องของสินค้า และยกระดับอารมณ์ของผู้ซื้อ ให้รู้สึกว่า "ของธรรมดา" ดู "มีคลาส" ขึ้นมาได้ในพริบตา

 

 

แสงที่ทำให้ของดูแพงขึ้น




แสงที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ

สามารถเปลี่ยนขวดน้ำหอมที่ไม่ใช่แบรนด์หรู  ให้ดูเหมือนงานศิลปะ

เปลี่ยนขวดแชมพูเรียบๆ  ให้เหมือนผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำของโรงแรมห้าดาว

เปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดา ให้ดูเหมือนออกมาจากรันเวย์

 

เพราะในที่สุดแล้ว...แสงคือการชี้นำสายตา  มันสามารถดึงดูด, ซ่อน, ย้ำ และแสดงออกได้ในเวลาเดียวกัน


ตัวอย่างเช่น  แบรนด์เครื่องสำอางอย่าง Aesop หรือ Le Labo รู้ดีถึงเรื่องนี้ พวกเขาใช้แสงวอร์มโทนอบอุ่น และการซ่อนไฟแบบ backlight การใช้เงาที่ขับเส้นสายของสินค้า  เพื่อที่จะพูดว่า   "สิ่งที่คุณเห็นตรงหน้านี้ไม่ธรรมดานะ"


 

ร้านที่ขายด้วยแสง จะไม่ใช่แค่ขายสินค้า!





หลายคนเคยเดินเข้าไปในร้านที่ไม่มีพนักงานทักทายทันทีในก้าวแรก  ไม่มีดนตรี ไม่มีอะไรเรียกร้องความสนใจ แต่คุณกลับ "อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ" และอาจเผลอควักบัตรจ่ายแบบไม่รู้ตัว

ร้านแบบนั้นไม่ได้ขายของด้วยการพูด...แต่ขายของด้วย บรรยากาศ และแสงคือผู้บรรเลงหลักของบรรยากาศนั้น

 

ตัวอย่างร้าน COS,  ร้านแว่นตาอย่าง Gentle Monster หรือแม้แต่ร้านกาแฟหลายแบรนด์ ล้วนใช้การออกแบบแสงเพื่อพาคนเข้าสู่โลกของแบรนด์  พวกเขาไม่ได้ใช้แสงเพื่อทำให้สินค้าสว่างเท่านั้น  แต่ใช้แสงเพื่อ "สร้างอารมณ์ร่วม" ระหว่างคนและสิ่งของ


ในฐานะนักออกแบบร้าน ฉันเคยเห็นหลายเคสที่ร้านเพิ่มยอดขายได้ เพียงเพราะปรับแสงใหม่

ร้านเดียวกัน ขายสินค้าเดิม แต่เปลี่ยนจากแสงฟลูออเรสเซนต์แข็ง ๆ เป็น spotlight สีทองอ่อนสลัว  ลูกค้ากลับรู้สึกว่าสินค้าขวดเดียวกัน “ดูดีขึ้น” และมีแนวโน้มจะซื้อเพิ่ม

แสงไม่ใช่แค่ใช้ตกแต่ง แต่เป็นหนึ่งใน กลยุทธ์ ของการตลาดและใช้ หลักจิตวิทยาผู้บริโภค

ร้านกาแฟที่ดูดีมาก ๆ หลายแห่ง แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเก้าอี้ไม้ธรรมดา โต๊ะปูน และแสงอุ่นจากโคมหลอดไส้


มันคือการออกแบบประสบการณ์ มากกว่าการขายของ



แสงกับจิตวิทยา: สิ่งที่คนสัมผัสโดยไม่รู้ตัวแต่รู้สึกได้


เราอาจไม่ทันสังเกต  ว่าไฟในร้าน Muji มีโทนอบอุ่นระดับ 2700K   หรือคิดได้ว่าแสงไฟในร้าน Aesop นั้นทำให้ผิวของเราในกระจกดูสุขภาพดี  แต่สมองของเรารับรู้  และมันแปลผลออกมาเป็นอารมณ์ที่พึงพอใจ  แล้วสรุปตีความว่า

"ของในร้านนี้ดูมีคุณค่า"   หลายครั้งก็พาเราจ่ายเงินมากกว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก

 

 

Rebellious Ambience: แสงที่ไม่อยู่ในกฏเกณฑ์แต่ทรงพลัง

 

ร้านหรูบางร้านเลือกใช้แสงอย่างเป็นระเบียบ สว่างใสเสมอกันทั้งร้าน  แบรนด์ทางเลือก (Alternative Brands) กลับเลือกใช้แสงอย่างกล้าหาญ : มืด, มีแสงเฉพาะจุด, เงาเยอะ, หรือแม้แต่แสงสีแดงน้ำตาลที่ชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง

แบรนด์แฟชั่นอย่าง Rick Owens, Our Legacy หรือแม้แต่คาเฟ่แนวมินิมัลสุดโต่งหลายแห่ง ใช้แสงในแบบที่ไม่ convention แต่มันกลับมีเสน่ห์เฉพาะตัว  เป็นแสงที่ไม่ได้อธิบายตรงๆ ว่าผู้ที่เข้ามาสัมผัสจะต้องรู้สึกอย่างไร  แต่มันทำให้รู้สึก "แตกต่าง"

 

 

ทำไมแสงถึงทำให้ของ “ดูแพง”


• แสงสร้างคอนทราสต์

การมีเงาและไฮไลต์ช่วยเน้นรูปร่างพื้นผิว ทำให้สิ่งของดูมีมิติ ไม่แบนราบแบบแสงทั่วไปในบ้าน


• แสงนำายตา

การใช้ spotlight ส่องเฉพาะสินค้าชิ้นสำคัญ ทำให้มัน “เด่น” ขึ้นมาในความรู้สึกของคนดู


• แสงกำหนดอารมณ์ของแบรนด์

เช่น ร้านเครื่องสำอางบางร้านใช้แสงที่นุ่มเหมือนแสงเทียน ให้รู้สึกถึงความหรูหรา นุ่มละมุนและเป็นกันเอง ร้านแฟชั่นแนวมินิมัลบางแห่งกลับเลือกแสงกลางวันจ้า ให้ความรู้สึก honest, clean และสมัยใหม่


 

 

ร้านไหนที่ใช้แสงได้อย่างน่าสนใจบ้าง?


Aēsop: ใช้แสง warm yellow สลัว  ตั้งใจให้แสงตกกระทบขวดแก้วสีน้ำตาล amber ได้อย่างงดงาม


Apple Store: ใช้แสงแบบ daylight เพื่อสื่อสารความเรียบ เที่ยงตรง โปร่งโล่ง


Uniqlo: แสงสว่างแบบทั่วถึงเพื่อให้สินค้าดูจริง และให้ความรู้สึกใกล้เคียงแสงธรรมชาติ


ร้านหนังสือ Tsutaya ที่ญี่ปุ่น: ใช้แสงในชั้นหนังสือได้อบอุ่นเหมือนห้องสมุดส่วนตัวในฝัน


Gentle Monster เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากในเรื่อง "แสง" และ "อารมณ์" เพราะพวกเขาใช้แสงเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “การเล่าเรื่อง” ไม่ใช่แค่เพื่อให้เห็นสินค้าเท่านั้น

 

 




 

บ้าน ที่ใช้แสงเล่าเรื่อง


อย่าคิดว่าเรื่องของแสงมีไว้แค่ในร้านค้า  เราสามารถเปลี่ยนมุมห้องของตัวเองให้ดูแพงขึ้น เงียบขึ้น หรือดูลึกลับขึ้นได้ด้วยโคมไฟเพียง 1 ดวง


เช่น การใช้แสงสลัวๆ จากโคม LED แบบพกพาสักโคมไปวางที่ระเบียงบ้าน ที่นั่นก็พร้อมจะดินเนอร์แล้ว  เป็นตัวอย่างของแสงที่ให้ mood มากกว่าความสว่างจริงจัง แสงได้สร้างการเล่าเรื่องชีวิตในแบบ soft power

การจัดแสงในบ้านก็ไม่ต่างจากการจัดแสงในร้าน  เราแค่ย้ายความตั้งใจและความรู้สึกมาไว้ในพื้นที่ของตัวเอง แค่นั้น บ้านก็เปลี่ยนเป็นโลกอีกใบได้ทันที

 

เราเริ่มจากลองใช้ "แสง" เล่าเรื่องในบ้าน ได้ง่ายๆ เช่น  

• ใช้โคมไฟตั้งพื้นหรือตั้งโต๊ะที่มีแสง warm white (2700–3000K) แทนที่จะเปิดไฟเพดาน

ทั้งห้อง

• ใช้แสงส่องเฉพาะมุม เช่น มุมวางหนังสือ โซฟา หรือโต๊ะทำงาน เพื่อให้พื้นที่ดูมีโฟกัสมาก

ขึ้น

• อย่ากลัวเงา — บางครั้งการมีเงาช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้สิ่งของ


จะใช้แสงเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในชีวิตประจำวัน หรือจะใช้เพื่อโอกาสพิเศษก็ได้ แล้วรอดูผลลัพธ์ว่า  ความรู้สึกของเราแตกต่างจากเดิมไปอย่างไรนะ  



สิ่งสำคัญอีกเรื่องสำหรับเราที่อยากใช้แสงเล่าเรื่องในบ้าน  นั่นคือ แสง ไม่ใช่เรื่องของงบประมาณเสมอไป

 

โคมตั้งพื้นราคาไม่แพงบางรุ่นก็ให้ผลลัพธ์ที่ดี  หลอด LED แบบปรับอุณหภูมิสีได้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในบ้านทั่วโลก แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ หรือมุมเล็ก ๆ ในบ้าน แต่ถ้าออกแบบแสงได้ดี ก็สร้างความรู้สึก “แพง” และอบอุ่นได้เช่นกัน

 

 

 

สรุป: แสงคือภาษาลับของสิ่งธรรมดา

 

ร้านที่ขายดีที่สุด อาจไม่ใช่ร้านที่ พนักงานขายพูดเก่งที่สุด หรือมีสื่อต่างๆให้อ่านมากมาย

แต่คือร้านที่ใช้แสงเล่าเรื่องแทนทุกคำพูด


แสง ทำให้เราหยิบจับสิ่งธรรมดาด้วยมือที่อ่อนโยนขึ้น มองสินค้าด้วยสายตาที่เปิดกว้างขึ้น

และจ่ายเงินด้วยความรู้สึกว่า "มันคุ้มค่า"


แสงจึงไม่ใช่แค่ของตกแต่ง แต่คือเครื่องมือในการขับเคลื่อนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

"บางร้านไม่ได้ขายของ...แต่ขายความรู้สึกบางอย่างที่คุณไม่เคยลืม"

 

บางครั้งเราไม่ได้อยากได้ของราคาแพง  แค่เราอยากรู้สึกว่า “ชีวิตเราดูดีขึ้น”

และแสง — อาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้รู้สึกแบบนั้น


ลองเริ่มจากในบ้าน  จัดแสงใหม่สักจุด  เปิดไฟตั้งพื้นสักมุม  ดูเงาที่ตกลงบนผนัง

แล้วคุณอาจจะพบว่า... คุณไม่ได้เปลี่ยนแค่แสง


คุณเปลี่ยนความรู้สึกของคุณเอง.






เมื่อให้แสงช่วยเล่าเรื่อง : ความลับของสินค้าที่ดูแพง ( ตอนที่ 1)

เคยไหม ...ที่เดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง  แล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ ทุกอย่างดูดี ไปหมด  ทั้งๆ ที่ของก็คล้ายๆ กับที่เห็นตามท้องตล...